ความหมายนัยที่ ๑ นัยที่ ๓ และนัยที่ ๔ สอดคล้องกับบันทึกของสมณะเฮี่ยนจั๋งที่ว่า ที่ได้ชื่อว่านาลันทา เพราะ๙ สมัยหนึ่ง พระโพธิสัตว์อาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ให้ทานโดยไม่หยุดหย่อน นั่นคือ ให้ไม่รู้จักพอ และอีกนัยหนึ่งตั้งชื่อตามชื่อของนาค ซึ่งอาศัยอยู่ในสระกลางสวนมะม่วง ความจริงก็คือว่า (๑) พระพุทธเจ้าสมัยเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นกษัตริย์ครอง เมืองนี้ ให้ทานโดยไม่หยุด (charity without intermision) (๒) พญานาค ซึ่งอาศัยอยู่ในสระกลางสวนมะม่วง เป็นที่เคารพสักการะของประชาชน เมื่อได้มีการสร้างสังฆาราม (วิหาร-วัด) ด้านเหนือของสวนมะม่วงนี้ จึงตั้งชื่อว่า นาลันทา** ความหมายนัยที่ ๔ ที่ว่า ให้ไม่รู้จักพอ อาจมองได้อีกมุมหนึ่งซึ่งสอดคล้องกับสถานภาพของนาลันทา ไม่ว่าจะอยู่ในยุค ไหน ความยิ่งใหญ่ของนาลันทามีอยู่ ๒ เรื่อง คือ (๑) การศึกษา (๒) การให้ทาน นาลันทาเป็นแหล่งสรรพวิทยาทาน โดยเฉพาะด้านพระพุทธศาสนา คนทั่วโลกหลั่งไหลมาหาความรู้ บางคนมีความสงสัยในบางเรื่องเป็นเวลาครึ่งค่อนชีวิต แต่เมื่อมาถึงนาลันทา สามารถกำจัดความสงสัยได้ คณาจารย์แห่งนาลันทาให้วิชาการอย่างไม่ปิดบัง คือให้ไม่รู้จักพอ และ ประเด็นต่อมา เพราะเป็นศูนย์การศึกษาพระพุทธศาสนานั่นเอง ทำให้พุทธศาสนิกชนหลั่งไหลมาให้ทาน การให้วัตถุสิ่งของ การให้ทุนการศึกษา ณ ที่นี้ไม่รู้จักพอเช่นเดียวกัน การให้ความอุปถัมภ์พระสงฆ์ผู้เดินทางมาศึกษา ณ ที่นี้จาก ๔ ทิศ เป็นภาพที่เห็นกันปกติที่ นาลันทา แม้ทูตพลวรมันและกษัตริย์พาลปุตรเทวะแห่งไศเลนทรวงศ์ในสุวรรณทวีป (สุวรรณภูมิ ?-ชวา-สุมาตรา) ซึ่งเป็นพระโอรสของมเหสีตารา พระธิดาของธรรมเสตุ ก็ยังมีส่วนร่วมอุปถัมภ์***