งานวิจัยนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาอิทธิพลของอายตนะ(สื่อ)ที่มนุษย์บริโภคอยู่ทุกวัน ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับว่าอายตนะมีอิทธิพลต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างไร เพราะการเรียนรู้โลกทั้งหมด มนุษย์เรียนรู้ได้โดยอาศัยอายตนะเท่านั้น แต่อายตนะนั้นมีขอบเขตจำกัดในการเห็น การได้ยิน แต่ความต้องการอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด มนุษย์จึงพัฒนาเครื่องมือที่ช่วยในการดูการฟัง ทำให้สามารถรับรู้เรื่องราวต่าง ๆได้ทั่วโลกในระยะเวลาอันรวดเร็ว แต่เรื่องราวที่รับรู้ย่อมมีทั้งคุณและโทษถ้าไม่รู้จักเลือกรับเลือกพิจารณาที่จะรับรู้ เมื่ออายตนะมีความสำคัญอย่างนี้ มนุษย์รู้จักควบคุมหรือพัฒนาอายตนะให้เกิดประโยชน์อย่างไร ผู้วิจัยได้แบ่งการศึกษาออกเป็น ๕ บท ในแต่ละบทมีรายละเอียดที่จะศึกษา ดังนี้ บทที่ ๑ บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา วัตถุประสงค์ของการวิจัย ปัญหาที่ต้องการทราบ เอกสารและรายงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง วิธีดำเนินการวิจัยหรือขอบเขตการวิจัยและประโยชน์ที่คาดว่าจะได้จากการวิจัย บทที่ ๒ ความหมายของคำว่า "อายตนะ" ตามรูปศัพท์ และความหมายที่ประสงค์เอาในงานวิจัยนี้ จำนวนอายตนะที่ปรากฏในคัมภีร์ต่าง ๆ และความสำคัญของอายตนะที่เกี่ยวข้องกับสื่อที่ถูกสร้างขึ้น ซึ่งมีจำนวนมากและได้รับการพัฒนาไม่มีที่สิ้นสุด แต่ก็เป็นเพียงปัจจัยเกื้อหนุนให้เกิดการรับรู้อารมณ์ได้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น พร้อมทั้งผลต่าง ๆ คือความสุขและความทุกข์ที่เกิดจากการรับรู้นั้น บทที่ ๓ ลักษณะของสื่อทางพระพุทธศาสนาจัดตามหน้าที่ที่ทำ และจัดตามชนิดของสื่อ ไม่ก้าวก่ายหรือปะปนกัน สื่อเหล่านั้นทำหน้าที่ของตนได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้เกิดการรับรู้อารมณ์ต่าง ๆ บุคคลผู้ที่รับอารมณ์แล้วเสวยผลเป็นสุขหรือทุกข์ขึ้นอยู่กับพื้นฐานทางจิตใจที่ได้รับอบรมมา ปัจจัยที่ส่งเสริมให้มีความคิดวินิจฉัยที่ถูกต้อง เมื่อได้รับอารมณ์คือ ความมีเพื่อนดี และมีโยนิโสมนสิการ คุณธรรมทั้ง ๒ ประการนี้ควรปลูกฝังให้เกิดมีขึ้นในจิตใจ เพราะเป็นทางเจริญแก่บุคคลโดยส่วนเดียว บทที่ ๔ เครื่องมือควบคุมสื่อที่สำคัญคือสติ แต่สติจะเกิดขึ้นและสมบูรณ์ถึงขั้นใช้เป็นเครื่องมือควบคุมอารมณ์ได้ จะต้องได้รับการฝึกหัดมาก่อน กระบวนการการฝึกสตินั้น มีทั้งสมถะและวิปัสสนา ในกระบวนการทั้ง ๒ นี้ ต่างก็เป็นปัจจัยของกันและกัน โดยอาศัยฐานการฝึกอยู่ที่ตัวของผู้ฝึกเอง นิยมใช้สื่อภายในช่วยในการฝึก เพราะมีอยู่พร้อมแล้ว ทั้งรูปและนามคือกายกับใจ เหตุนั้นเมื่อฝึกแล้วจึงสามารถควบคุมจิตไม่ให้ตกเป็นทาสของอารมณ์ได้ แม้ได้รับอารมณ์ทั้งที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ก็ไม่หวั่นไหวไปตาม สามารถควบคุมอารมณ์ความรู้สึกไว้ได้ และรู้จักพิจารณาสิ่งที่ได้พบเห็นตามความเป็นจริง ไม่ตกเป็นทาสของสิ่งนั้น บุคคลนั้นชื่อว่าพัฒนาตนเองให้พ้นจากทุกข์ได้ บทที่ ๕ สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ จากการวิจัยทำให้ทราบว่า อายตนะเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญต่อมนุษย์และสัตว์มา เพราะใช้เป็นสื่อรับรู้อารมณ์ภายนอกได้ทั้งหมด แต่ในการรับรู้นั้น ถ้าไม่รู้จักเลือกรับเลือกพิจารณาเสพเสวยก็จักก่อทุกข์ให้แก่ตน แต่ถ้ามีสติรับรู้ก็จักได้ประโยชน์ตามประสงค์ จึงเสนอแนะให้มีการส่งเสริมการศึกษาและสอนวิธีฝึกสติตามแนวของมหาสติปัฏฐานสูตรให้มาก เพราะผู้ที่ศึกษาและปฏิบัติดีแล้ว สามารถพัฒนาตนเองให้ไปสู่ความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปได้