การวิจัยเรื่อง การศึกษารูปแบบของวัดที่เหมาะสมกับการเป็นแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตมี วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาแนวคิดทฤษฎีความเป็นมาของวัดในสมัยพุทธกาลและวัดดีเด่นในปัจจุบัน และเพื่อศึกษารูปแบบที่เหมาะสมของวัดเพื่อเป็นแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ภายใต้กรอบแนวคิด เรื่องการบริหาร การจัดการความรู้ และแนวคิดด้านการเรียนรู้ การดำเนินการวิจัย ใช้การวิจัยภาคเอกสาร (Documentary Research) และการวิจัย เชิงสำรวจ (Survey Research) กลุ่มประชากรคือ พระภิกษุสามเณร ประชาชน เด็กและเยาวชน จำนวน ๕๖๖ รูป / คน จากวัดกรณีศึกษา ๓ วัดในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล คือ วัด ราชโอรสาราม วัดโสมนัสวิหาร และวัดปัญญานันทาราม โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) การเก็บข้อมูลใช้แบบสัมภาษณ์และแบบสอบถามความคิดเห็น ประมวลผล โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS ในส่วนของข้อมูลทั่วไปนำเสนอด้วยค่าร้อยละ แบบสอบถามความ คิดเห็นใช้ค่าไคสแควร์ เพื่อวิเคราะห์ความแตกต่างด้านความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่าง ภายใต้กรอบ การดำเนินการด้านนโยบาย ด้านคุณลักษณะของพระภิกษุสามเณรในวัด ด้านสถานที่ สิ่งอำนวย ความสะดวก และด้านกิจกรรมการเรียนรู้ ผลการวิจัยได้ข้อสรุปว่า แนวคิดทฤษฎีในการจัดวัดให้เป็นแหล่งการเรียนรู้สมัยพุทธกาล และวัดดีเด่นในปัจจุบัน คือ การสร้างบุคคลที่มีความพร้อมสามารถเป็นกัลยาณมิตรเป็นปัจจัยแรกที่ มีความสำคัญอันจะนำไปสู่การจัดเตรียมปรโตโฆสะ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดโยนิโสมนสิการ จนเข้าสู่ กระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่สามารถพัฒนาตนไปสู่การเป็นกัลยาณมิตรต่อตนเอง และผู้อื่นได้ใน ที่สุด โดยในสมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าทรงใช้หลักธรรมวินัย และพุทธวิธีการบริหารดูแลสังคมสงฆ์ ในอารามให้มีความสัปปายะทั้ง ๔ ด้าน คือ เสนาสัปปายะ บุคคลสัปปายะ อาหารสัปปายะ และ ธัมมสัปปายะ ส่วนวัดดีเด่นในปัจจุบัน ยังคงใช้หลักธรรมวินัยเป็นเครื่องกำกับดูแลการพัฒนาตน ของพระภิกษุสามเณร ร่วมกับพระราชบัญญัติคณะสงฆ์และกฎมหาเถรสมาคม โดยมีเจ้าอาวาสวัด เป็นผู้นำในการกำหนดนโยบาย สร้างจิตสำนึกให้เกิดความร่วมมือในการจัดสถานที่และกิจกรรม จากการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติพบว่า ๑. ด้านนโยบาย วัดควรมีนโยบายในการปรับปรุงอาคารสถานที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ ที่หลากหลายและเหมาะสมสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาด้านศีล สมาธิ และปัญญา รวมทั้งต้อง มีแผนพัฒนาบุคลากรให้มีศักยภาพ สร้างเครือข่ายของวัดเพื่อแลกเปลี่ยนพระวิทยากรและสื่อการ เรียนรู้ จัดวัดให้เป็นศูนย์แลกเปลี่ยนเรียนรู้ของชุมชน จัดทำปฏิทินกิจกรรมประจำปีของวัด ด้าน เนื้อหาหลักธรรมที่นำมาใช้สอน ควรปรับปรุงให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ ๒. ด้านคุณลักษณะของพระภิกษุสามเณร ต้องประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี มีความรู้ ทั้งทางโลกและทางธรรม มีทักษะในการจัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับบุคคลและกาลเทศะ ๓. ด้านสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวก สถานที่ควรร่มรื่น สะอาด และสงบ มีห้องน้ำสะอาดและเพียงพอ มีป้ายหัวข้อธรรมะข้อคิดที่เป็นประโยชน์ จัดพื้นที่ให้ผู้เข้ามาใช้ บริการมีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องธรรมะ และควรมีห้องสมุดประจำวัดเพื่อให้ผู้สนใจได้ค้นคว้า ๔. ด้านกิจกรรมการเรียนรู้ ควรเพิ่มกิจกรรมการเจริญวิปัสสนากรรมฐานสำหรับ ประชาชน มีกิจกรรมพระสงฆ์ให้คำปรึกษาแก่ประชาชน เชิญวิทยากรภายนอกเข้าร่วม กิจกรรมทางศาสนา การสวดมนต์แปลเพื่อให้เข้าใจความหมายของบทสวดมนต์ ควรเปิดโอกาส ให้พระภิกษุสามเณรเลือกเรียนรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมไปพร้อมกัน รวมทั้งจัดถวายความรู้แด่ พระสงฆ์ด้านการเผยแผ่ที่เหมาะสมกับสังคมไทย การพูดในที่ชุมชน กฎหมายที่พระสงฆ์ควรทราบ และการจัดทำเวบไซด์ประจำวัด ผลการวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่า รูปแบบของวัดที่เหมาะสมกับการเป็นแหล่งการเรียนรู้ ตลอดชีวิต จำเป็นต้องใช้การจัดการความรู้ (Knowledge Management) เข้ามามีส่วนใน กระบวนการสร้างรูปแบบของวัดให้เป็นไปตามความต้องการของพุทธบริษัทแต่ละกลุ่ม วัดต้องมี ลักษณะการวางแผนด้านนโยบายที่ชัดเจนแน่นอน เพื่อจัดกิจกรรมพัฒนาคุณภาพของพระภิกษุ สามเณรให้เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติพร้อมที่จะเป็นกัลยาณมิตร ก้าวทันโลกในยุคปัจจุบันโดยไม่ทิ้ง สมณสารูปและสมณสัญญา รวมทั้งการปรับปรุงสถานที่จัดกิจกรรม และข้อเสนอแนะต่าง ๆ ที่ได้ รวบรวมมา สิ่งเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นเครื่องชี้ถึงความต้องการของผู้ใช้บริการที่วัดจะต้องใช้เป็น จุดเริ่มต้นในการปรับปรุงกระบวนการดำเนินงาน ตลอดจนใช้เป็นแนวสำหรับกำหนดทิศทางใน การจัดวัดให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่เหมาะสมของพุทธบริษัท ทั้งนี้ เพื่อความมีส่วนร่วม ในการเป็นเจ้าของแหล่งการเรียนรู้อย่างแท้จริง อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อวัด และสังคมโดยรวม อย่างยั่งยืน Download : 255109.pdf