งานวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อการศึกษาแนวความคิดเรื่องอนิจจตาในพุทธปรัชญาเถรวาท ตามที่ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎก โดยศึกษาในเชิงอภิปรัชญาและจริยศาสตร์ แยกออกเป็น ๔ ประเด็น คือ (๑) อนิจจตาที่พุทธปรัชญาอธิบายไว้ (๒) อนิจจตาในฐานะปฏิเสธแนวคิดเรื่องสัสสตทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิ (๓) คุณค่าของอนิจจตาในเชิงจริยธรรม (๔) อนิจจตาในฐานะเป็นพื้นฐานและแกนกลางในการอธิบายหลักธรรมอื่น ๆ ผลของงานวิจัยทำให้ทราบว่า ๑. พุทธปรัชญาแสดงว่า อนิจจตาคือความเปลี่ยนแปลงเป็นลักษณะที่เสมอเหมือนกันของ สังขารธรรม สังขารธรรมไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลง เกิดดับอยู่ทุกขณะ ไม่มีความสมบูรณ์พร้อมในตัวเอง เกิดจากส่วนประกอบต่าง ๆ มาประชุมกัน มีความสัมพันธ์เนื่องอาศัยกันเป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่กันและกัน มีอยู่ในรูปของกระแสการเกิดดับสืบต่อกันไปเรื่อย ๆ ไม่ขาดสาย ความเปลี่ยนแปลงนี้เป็นปรากฎการณ์ซึ่งไม่เกี่ยวกับผู้สร้างหรือเทพเจ้าใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นไปตามธรรมดา แม้กระนั้น ก็ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น มีระเบียบ กฎเกณฑ์และทิศทางที่แน่นอน ๒. ความเปลี่ยนแปลง (อนิจจตา) เป็นทัศนะสายกลาง ปฏิเสธความเห็นว่าเที่ยง (สัสสตทิฏฐิ) และความเห็นว่าขาดสูญ (อุจเฉททิฏฐิ) ตามพุทธปรัชญา เรากล่าวไม่ได้ว่าโลกและอัตตาเที่ยง ในขณะเดียวกันก็กล่าวไม่ได้ว่าขาดสูญ สิ่งที่พุทธปรัชญายืนยัน ก็คือ สรรพสิ่งเปลี่ยนแปลง ไม่เที่ยง ไม่คงที่ ดำเนินไปโดยอาศัยเหตุปัจจัย สัมพันธ์สืบเนื่องกันอยู่ตลอดเวลา แม้ดับสลายไปแล้วก็ยังเป็นเหตุปัจจัยแก่สิ่งอื่นและเกิดสิ่งใหม่ขึ้นทดแทน ไม่ใช่เป็นการขาดสูญเสียทีเดียว ๓. เมื่อมาเกี่ยวข้องกับมนุษย์ อนิจจตาอันเป็นทัศนะทางอภิปรัชญาซึ่งแสดงความจริงที่ปรากฏอยู่ ก็มีคุณค่าในเชิงจริยธรรม ๒ ประการ คือ ๓.๑ เมื่อประสบความเปลี่ยนแปลง ก็สามารถทำใจได้ เพราะรู้เท่าทันกฎธรรมดา มีจิตเป็นอิสระไม่ถูกครอบงำกดดันจากสิ่งภายนอกและภายใน เป็นคุณค่าด้านจิตใจ ๓.๒ ก่อให้เกิดความไม่ประมาท เร่งทำกิจที่ควรทำต่อไปให้ดีที่สุดด้วยใจที่เป็นอิสระ เพราะรู้ว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย เป็นคุณค่าด้านทำกิจ ๔. อนิจจตาเป็นพื้นฐานและแกนกลางให้เข้าใจทุกขตา อนัตตตา และหลักธรรมอื่น ๆ ของพุทธปรัชญาเถรวาท เพราะหลักธรรมต่างก็มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องสืบเนื่องมาจากสัจธรรมอันเดียวกัน และเป็นไปเพื่อจุดมุ่งหมายเดียวกัน