งานวิจัยนี้ มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบพระวินัยของภิกษุกับภิกษุณีในพระพุทธศาสนาเถรวาท ศึกษาเฉพาะกรณีอาบัติปาจิตดีย์ที่ปรากกฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาระดับพระไตรปิฏกอรรถกถาและฏีกาโดยเน้น ปาจิตดีย์ในมหาวิภังค์และภิกขุนีวิภังค์ จำนวนสิกขาบทของภิกษุและภิกษุณี เหตุผลในการบัญญัติปาจิตดีย์ ความหนักเบาของโทษที่ภิกษุและภิกษุณีผู้ละเมิดได้รับ สิกขาบทที่เป็นโลกวัชชะและเป็นปัณณัตติวัชชะ สิกขาบทที่เป็นมูลบัญญัติและอนุบัญญัติ สิกขาบทที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติเพื่อระงับความโลภ ความโกรธ ความหลง กุศลกรรมบถ ๑๐ ถือเป็นแบบอย่างในการเปรียบเทียบพระวินัย โดยเฉพาะกรณีปาจิตดีย์ สำหรับผู้ศึกษาและปฏิบัติต่อไป ผู้วิจัยได้แบ่งการศึกษาออกเป็น ๕ บท ในแต่ละบทได้ศึกษางานสำคัญ ดังนี้ บทที่ ๑ ความเป็นมาและวัตถุประสงค์ของการวิจัย บทที่ ๒ แนวคิดเรื่องปาจิตดีย์ของภิกษุในพระไตรปิฏกอรรถกถาและฏีกาโดยนำเสนอรายละเอียด ในส่วนเป้าหมาย มูลเหตุ วัตถุประสงค์ กระบวนการขั้นตอนในการบัญญัติสิกขาบท จำแนกหมวดหมู่สิกขาบท และสรุปวิเคราะห์สิกขาบท บทที่ ๓ แนวคิดเรื่องปาจิตดีย์ของภิกษุณีในพระไตรปิฏกอรรถกถาและฏีกาซึ่งมีรายละเอียดทำนองเดียวกับในฝ่ายของภิกษุ บทที่ ๔ ศึกษาเปรียบเทียบแนวคิดเรื่องปาจิตดีย์ของภิกษุกับภิกษุณีในพระไตรปิฏกอรรถกถาและฏีกา บทที่ ๕ สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ จากการศึกษาการเปรียบเทียบพระวินัยของภิกษุกับภิกษุณี ในพระพุทธศาสนาเถรวาท : ศึกษาเฉพาะกรณีปาจิตดีย์ ผู้วิจัยพบความสำคัญของอาบัติปาจิตดีย์ ดังต่อไปนี้ ปาจิตดีย์เฉพาะของฝ่ายภิกษุที่ต้องรับปฏิบัติมี ๒๒ สิกขาบท มีสิกขาบทที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับภิกษุณี ๑๐ สิกขาบท เช่น สิกขาบทที่ ๑ แห่งโอวาทวรรคว่า "ภิกษุไม่ได้รับแต่งตั้งสอนภิกษุณี ต้องอาบัติปาจิตดีย์" และต้องอาบัติปาจิตดีย์ซึ่งเป็นการกระทำของภิกษุเองโดยเฉพาะ เช่น ในสิกขาบทที่ ๑ แห่งรตนวรรคว่า "ภิกษุไม่ได้รับแจ้งล่วงหน้าเข้าไปในพระตำหนักที่บรรทมที่พระราชาประทับอยู่กับพระมเหสี ต้องอาบัติปาจิตดีย์" ปาจิตดีย์ที่เป็นสิกขาบทใช้ด้วยกัน คือ ภิกษุและภิกษุณี ต้องรับปฏิบัติร่วมกัน ๗๐ สิกขาบท ซึ่งเป็นอาบัติที่เพศใดก็ตามไม่ว่าชายหรือหญิงล่วงละเมิดแล้วต้องอาบัติปาจิตดีย์เหมือนกัน เช่น ในสิกขาบทที่ ๑ แห่งมุสาวาทวรรคว่า "ภิกษุ (ภิกษุณี) กล่าวเท็จทั้งที่รู้ ต้องอาบัติปาจตดีย์" ปาจิตดีย์เฉพาะของฝ่ายภิกษุณีที่ต้องรับปฏิบัติมีจำนวน ๙๖ สิกขาบท ซึ่งเกี่ยวข้องกับภิกษุณีโดยเฉพาะทั้งที่เป็นการกระทำของภิกษุณีเอง เช่น ในสิกขาบทที่ ๑ แห่งลสุณวรรคว่า "ภิกษุณีฉันกระเทียม ต้องอาบัติปาจิตดีย์" และเกี่ยวกับสภาพร่างกายของผู้หญิงโดยเฉพาะ เช่น ในสิกขาบทที่ ๑๓ แห่งฉัตตุปาหนวรรคว่า "ภิกษุณีไม่มีผ้ารัดถันเข้าไปในหมู่บ้าน ต้องอาบัติปาจิตดีย์" ในจำนวนสิกขาบทของฝ่ายภิกษุและฝ่ายภิกษุณีนั้น เมื่อพิจารณาโดยละเอียดแล้วจะเห็นว่า สิกขาบทที่ภิกษุณีจะพึงรักษามีมากกว่าของภิกษุ เพราะมีสิกขาบทที่จำกัดเฉาพะความเป็นหญิงจริงร่วมอยู่ด้วย ทั้งนี้ก็ผล คือ ความเป็นระเบียบของคณะสงฆ์และความสงบสุขทั้งฝ่ายภิกษุและภิกษุณี