วิทยานิพนธ์นี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาเปรียบเทียบปรัชญาเซนกับพุทธปรัชญาเถรวาท ปรัชญาทั้ง ๒ ระบบนี้เป็นปรัชญาอินเดียที่ไม่ยอมรับคัมภีร์พระเวท และเป็นฝ่ายอเทวนิยม ด้วยเหตุนี้ปรัชญาทั้งสองจึงมีทรรศนะหลัก ๆ ที่คล้ายคลึงกันในหลาย ๆ ประเด็น การศึกษาปรัชญาทั้ง ๒ ระบบนี้ผ่านกรอบปรัชญาตะวันตก คือ ด้านอภิปรัชญา ญาณวิทยา และจริยศาสตร์เพื่อช่วยให้ทราบปรัชญาเซนและพุทธปรัชญาเถรวาทได้ชัดเจนและกว้างขวางยิ่งขึ้น จากการวิจัยทำให้ทราบว่า ปรัชญาเซนและพุทธปรัชญาเถรวาท มีโครงการทางความคิดที่เป็นหลัก ๆ คล้ายคลึงกันทั้ง ๓ ด้าน กล่าวคือ ก. ด้านอภิปรัชญา ทั้งสองระบบยอมรับว่าความจริงสูงสุด มี ๒ อย่าง คือ จิตกับสสาร ข. ด้านญาณวิทยา ทั้งสองระบบเห็นว่าธรรมชาติของความรู้ได้แก่ สภาวะที่จิตปราศจากอวิชชา และยังได้แบ่งความรู้ออกเป็น ๒ ระดับ คือ ระดับ โลกิยะ (ความรู้ที่ยังเจือด้วยกิเลส) และระดับโลกุตตระ(ความรู้ที่ปราศจากกิเลส) และ ค. ด้านจริยศาสตร์ ทั้งสองระบบเห็นเหมือนกันว่า การจะเข้าถึงเป้าหมายสูงสุดในชีวิตได้นั้นจักต้องกำจัดกิเลส ซึ่งเป็นสาเหตุให้วิญญาณติดข้องในสังสารวัฏให้ได้อย่างสิ้นเชิง จะอย่างไรก็ตาม แม้ปรัชญาเซนและพุทธปรัชญาเถรวาท จะมีทรรศนะที่คล้ายคลึงกันในประเด็นหลัก ๆ ก็ตาม แต่เมื่อศึกษาโดยละเอียดแล้วทำให้ทราบว่า ยังมีประเด็นสำคัญอยู่ ๒ ประเด็นที่ปรัชญาทั้งสองมีทรรศนะที่ไม่ลงรอยกัน นั้นก็คือ เรื่อง จิต กับเรื่อง กรรม ชีวะในปรัชญาเซนนั้น มีสภาวะเป็นอัตตา คือ มีสภาพเที่ยงแท้ยั่งยืนซึ่งต่างจากจิตในทรรศนะของพุทธปรัชญาเถรวาทโดยสิ้นเชิง พุทธปรัชญาเถรวาทยอมรับว่าจิตมีอยู่ในสภาวะที่เป็นอนัตตา เกิดขึ้นตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เป็นสันตติ กรรมในทรรศนะของปรัชญาเซนนั้น เป็นสสาร เป็นอนุภาคเล็ก ๆ จะเกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อมีการกระทำ และอนุภาคเหล่านี้จะซึมซับติดอยู่กับชีวะทันที ชีวะที่ถูกอนุภาคของกรรมซึมซับติดอยู่ ก็จะเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏต่อไป จนกว่าจะสามารถแยกอนุภาคของกรรมให้ออกไปจากตัวเองได้อย่างเด็ดขาด ส่วนกรรมในทรรศนะของพุทธปรัชญาเถรวาทนั้นหมายถึงการกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา เจตนาและเจตสิกอีกจำนวนหนึ่งเป็นตัวบ่งชี้ให้ทราบว่ากรรม นั้นเป็นกรรมดีหรือชั่ว กรรมที่ทำลงไปจะถูกเก็บไว้ในภวังคจิต จิตที่สะสมกรรมเอาไว้ก็จะติดข้องในสังสารวัฎเช่นเดียวกัน ในการจัดระดับผลของกรรมนั้น ปรัชญาเซนจัดกรรมทางกายว่ามีโทษหนักที่สุด ส่วนพุทธปรัชญาเถรวาทถือว่า กรรมทางใจมีโทษหนักที่สุด เพราะให้ความสำคัญแก่กรรมต่างกันเช่นนี้ ปรัชญาทั้ง ๒ จึงเน้นหลักปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้นต่างกันตามไปด้วยกล่าวคือ ปรัชญาเซน เห็นว่าด้วยการทรมานตนให้ลำบากเท่านั้น บุคคลจึงจักทำลายกรรมให้หมดสิ้นลงได้ ส่วนพุทธปรัชญาเถรวาท เห็นว่า ผู้ประสงค์จะหลุดพ้นจากอำนาจของกรรมจักต้องบำเพ็ญเพียรทางจิตเท่านั้น ประการสุดท้าย มีข้อที่น่าสังเกตว่า เป้าหมายสำคัญของปรัชญาทั้ง ๒ ระบบ นี้อยู่ที่หลักจริยศาสตร์ ปรัชญาทั้ง ๒ นี้ มีลักษณะเป็นปรัชญาเพื่อชีวิตคือมีความมุ่งหวังให้สรรพสัตว์แสวงหาความสุขอันเกิดจากการไม่เบียดเบียนกัน ตลอดจนส่งเสริมให้เข้าถึงความสุขที่ไม่เจือด้วยกิเลสตัณหา ปรัชญาทั้ง ๒ ระบบ จึงเป็นปรัชญาที่มีชีวิต มิใช่เป็นเพียงปรัชญาในฝันเท่านั้น