งานวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาถึงแนวทางการแก้ปัญหาความเจ็บป่วย ตามวิธีของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีอยู่ ๒ ระดับ คือ ระดับโลกิยะ เป็นพุทธวิธีที่ทรงมีเป้าหมายเพื่อการบรรเทาทุกข์ยามเจ็บป่วย และระดับโลกุตตระ เป็นพุทธวิธีที่ทรงมีเป้าหมายเพื่อการดับทุกข์ คือ บรรลุพระนิพพาน โดยทั้ง ๒ วิธีนี้สามารถนำไปเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นกับความต้องการของแต่ละบุคคลได้อย่างดียิ่ง การศึกษาครั้งนี้ได้แบ่งหัวข้อออกเป็น ๒ ตอน คือ การศึกษาในคัมภีร์พระไตรปิฎกเถรวาท และการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมกรณีศึกษาจากพระเถระไทย ถึงการนำเอาพุทธวิธีมาประยุกต์ใช้ในยามเจ็บป่วย โดยแบ่งรายงานการวิจัยออกเป็น ๕ บท ดังนี้ บทที่ ๑ บทนำ แสดงที่มาของปัญหา วัตถุประสงค์ในการวิจัย วิธีดำเนินการวิจัยและประโยชน์ที่จะได้รับจากการวิจัย บทที่ ๒ หลักพุทธธรรมที่เนื่องด้วยความเจ็บป่วย เป็นการศึกษาถึงหลักธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนาที่สามารถนำมาใช้แก้ปัญหาสุขภาพชีวิตและรักษาโรคต่างๆ ได้ ได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ อิทธิบาท ๔ โพชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘ สมาธิ สัญญา ๑๐ ไตรลักษณ์ พรหมวิหาร ๔ และพระรัตนตรัย บทที่ ๓ พุทธวิธีดูแลสุขภาพและรักษาความเจ็บป่วย เป็นการศึกษาถึงหลักปฏิบัติต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ในการดูแลรักษาสุขภาพอนามัย ได้แก่ การบริโภคอาหาร การออกกำลังกาย การบริหารจิต การอยู่กับธรรมชาติ การสุขอนามัย การลดความอ้วน การชะลอความแก่ และการมีอายุยืน เป็นต้น และศึกษาถึงวิธีที่ทรงใช้ในการรักษาโรค ซึ่งมีอยู่ ๒ วิธี คือ (๑) การรักษาด้วยกรรมวิธีแบบทั่วไป ได้แก่ การใช้เภสัชสมุนไพร การใช้อาหาร การใช้ความร้อน การพักผ่อนอิริยาบถ การผ่าตัด และการใช้พลานุภาพ (๒) การรักษาด้วยพระธรรมโอสถ บทที่ ๔ พระเถระไทยกับการประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรมในยามเจ็บป่วย เป็นการศึกษาถึงกรณีตัวอย่างการอาพาธของพระเถระไทยจำนวน ๓ รูป คือ พระธรรมโกศสจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) และพระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) ผู้ได้นำหลักธรรมและพุทธวิธีมาประยุกต์ใช้ในยามเจ็บป่วย ซึ่งถือว่าเป็นพระสาวกในยุคปัจจุบันที่เป็นแบบอย่างในการนำพุทธวิธีมาแก้ปัญหาความเจ็บป่วยให้พุทธบริษัทได้เห็นถึงผลของการใช้ธรรมโอสกได้อย่างชัดเจนที่สุด บทที่ ๕ สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ จากการศึกษาวิจัยพบว่า พระพุทธเจ้าทรงมีแนวทางในการแก้ปัญหาสุขภาพและความเจ็บป่วยถึง ๒ แนวทางใหญ่ๆ คือ การป้องกันและการรักษาโรค ๑. การป้องกัน วิธีในการป้องกันสุขภาพที่พระพุทธเจ้าทรงใช้พบว่า ทรงมีหลักปฏิบัติต่างๆ ในการดูแลรักษาสุขภาพอนามัยอย่างครบถ้วนทั้งทางด้านกายภาพและจิตภาพ ที่มุ่งเน้นการปฏิบัติควบคู่กันไปอย่างสม่ำเสมอ เป็นประจำทุกวัน ดังที่กล่าวไว้ในบทที่ ๓ ทั้งนี้เพื่อเป็นการเสริมสร้างสุขภาพอนามัยทางกายและสุขภาพอนามัยทางจิตให้แข็งแรงสมบูรณ์ ซึ่งนับว่าเป็นวิธีที่จะป้องกันการเกิดโรคต่างๆ ไว้ได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ๒. การรักษาโรค วิธีในการรักษาโรคที่พระพุทธเจ้าทรงนำมาใช้พบว่ามีอยู่ ๒ วิธี คือ การรักษาด้วยกรรมวิธีตามแบบทั่วไป และการรักษาด้วยพระธรรมโอสถ ๒.๑ การรักษาโรคด้วยกรรมวิธีตามแบบทั่วไปพบว่า เป็นการใช้กรรมวิธีทางการแพทย์ตามแบบทั่วๆ ไปที่สังคมในยุคนั้นจะพึงมี ซึ่งมีหลายรูปแบบ ได้แก่ การใช้ยาสมุนไพร การใช้อาหาร การใช้ความร้อน การผ่าตัด และการพักผ่อน เป็นต้น แต่ทั้งนี้มีบางกรณีที่พระองค์ทรงจำกัดขอบเขตการรักษาเฉพาะในหมู่สงฆ์ไว้ด้วย เช่น ห้ามภิกษุฉันยาที่เจือด้วยน้ำเมาเกินขนาด และห้ามภิกษุผ่าตัดริดสีดวงทวาร เป็นต้น ผลจากการใช้กรรมวิธีต่างๆ ดังกล่าวนี้สามารถใช้บำบัดรักษาดรคหรือความเจ็บป่วยทั่วไปให้หายได้ ๒.๒ การรักษาโรคด้วยพระธรรมโอสถพบว่า พระพุทธเจ้าทรงนำเอาหลักธรรมชั้นสูงหมวดต่างๆ ที่ทรงใช้ในการตรัสรู้ มาบำบัดรักษาโรค หมวดธรรมต่างๆ นั้นส่วนใหญ่ได้จัดรวมเป็นหมวดธรรมหมวดใหญ่มีชื่อเรียกว่า "โพธิปักขิยธรรม ๓๗" โดยนำเอาผลพลอยได้จากการตรัสรู้นี้ไปรักษาดรคต่างๆ ทั้งโรคทางกายและโรคทางใจ และผลจากการใช้ธรรมโอสถรักษาโรคในผู้ป่วยที่เป็นพระอรหันต์พบว่า สามารถรักษาโรคให้หายได้ ดังกรณีของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวก เป็นต้น จากพุทธวิธีการแก้ปัญหาความเจ็บป่วยทั้ง ๒ แนวทาง ที่พระพุทธองค์ทรงเคยใช้อย่างได้ผลดีมาแล้วเมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีนั้น ปัจจุบันพบว่าพุทธวิธีดังกล่าวนี้ยังสามารถนำมาใช้ในการแก้ปัญหาสุขภาพและบำบัดรักษาโรคอย่างได้ผลดีเช่นเดียวกัน ดังกรณีตัวอย่างของพระเถระไทยทั้ง ๓ รูป ที่ได้นำเอาหลักพุทธธรรมและพุทธวิธีมาประยุกต์ใช้ในยามเจ็บป่วยตามความถนัดและเหมาะสมกับแต่ละท่าน อย่างได้ผลมาแล้วในระดับต่างๆ กันไป ดังเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาชาวพุทธไทยโดยทั่วไปมาแล้ว