แม่ชีกับสภาพปัญหาและโอกาส
ในการเข้าถึงอุดมศึกษาที่จัดโดยคณะสงฆ์ไทย
Mae Chis’ Access to Higher Monastic Education in Thailand
ดร. แม่ชีกฤษณา รักษาโฉม*
Dr. Martin Seeger**
บทคัดย่อ
งานวิจัยชิ้นนี้มุ่งศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสภาพปัญหาและโอกาสของการเข้าถึงอุดมศึกษาของแม่ชีไทยกับปัญหาเรื่องสถานที่อยู่อาศัย และปัญหาเรื่องทุนการศึกษาสำหรับโอกาสด้านการศึกษานั้น คณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกายได้ส่งเสริมการศึกษาระดับอภิธรรมศึกษาแก่ แม่ชีครั้งแรกพ.ศ. ๒๔๙๔ คณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกายส่งเสริมการเรียนบาลีศึกษาแก่แม่ชีครั้งแรก พ.ศ.๒๕๐๖ ถึงแม้คณะสงฆ์จะส่งเสริมการเรียนภาษาบาลีแก่แม่ชี แต่ก็ยังมีส่วนที่ไม่เหมือนกัน หลังจากมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งได้รับพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยพ.ศ.๒๕๔๐ แล้ว จึงได้เปิดรับแม่ชีเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษา กล่าวได้ว่าการศึกษาของแม่ชีในช่วงกว่า ๑๐ ปีที่ผ่านมาดีขึ้น วัตถุประสงค์หลักอย่างหนึ่งของงานวิจัยนี้ คือ การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ผู้จัดการศึกษาและผู้รับการศึกษาและข้อแสดงความคิดเห็นจากแบบสอบถาม เพื่อเปรียบเทียบประสบการณ์ ทัศนคติ ประเมินศักยภาพ และประสิทธิภาพในการจัดการศึกษาของคณะสงฆ์แก่แม่ชีไทย
Abstract
This research investigates the relationship between Thai mae chis’ access to higher monastic education, provided by the sangha, and their opportunities to find appropriate accommodation and financial support. While the Mahanikaya Sangha has supported mae chis in their Abhidhamma Studies since 1951, the Dhammayuttika-Nikaya Sangha has provided mae chis with the opportunity to pursue Pali Studies in a similar way to monks since 1963 (even though there still exist some significant differences). As a consequence of the enactment of their University Acts in 1997, both Mahachulalongkornrajavidyalaya University and Mahamakut Buddhist University have been able to admit mae chis to their programmes. Our research will show that monastic educational career opportunities for mae chis have improved significantly over the last 10 years or so. A major objective of our research is to provide an analytical investigation of the interviews we conducted with students, administrators and teachers in higher monastic education. Here, we will discuss the views and experiences of our interviewees in order to study the potential and effectiveness of the monastic education that has been made available to Thai mae chis in recent years.
Keywords: Thai mae chis, access to higher monastic education, gender in Thai Buddhism, Pali Studies, Buddhist Studies, bhikkhunī
๑. อารัมภบท
ในช่วงเวลาประมาณ ๑๐ กว่าปีที่ผ่านมา โอกาสทางการศึกษาระดับอุดมศึกษาของนักบวชสตรีในสังคมไทยในด้านต่างๆ มีมากขึ้นจะเห็นได้ว่า ในปีพ.ศ.๒๕๔๒ มหาปชาบดีเถรีวิทยาลัยซึ่งเป็นโครงการร่วมกับมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย เริ่มสอนอย่างเป็นทางการเปิดโอกาสให้แม่ชีศึกษาระดับปริญญาตรี เป็นวิทยาลัยพระพุทธศาสนาเพื่อการศึกษาสำหรับแม่ชีและสตรีแห่งแรกของประเทศไทย นอกจากนั้น แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ผู้ก่อตั้งเสถียรธรรมสถาน ได้จัดการศึกษาระดับปริญญาโทเป็นโครงการร่วมกับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยใช้ชื่อว่า สาวิกาสิกขาลัยเริ่มจัดการศึกษาในปีพ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนที่แม่ชีไทยจะมีการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษานั้น ได้มีการศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ในปี พ.ศ. ๒๕๓๓ มาแล้ว คือ สถานศึกษาธรรมจาริณีวิทยา ซึ่งเป็นสาขาของสถาบันแม่ชีไทย ที่อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี จัดการสอนโดยคณะแม่ชีสถาบันแม่ชีไทย สอนวิชาสามัญระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมศึกษาตอนปลายในระบบการศึกษานอกระบบโรงเรียน (กศน.) และสอนวิชาพระปริยัติธรรม ธรรมศึกษาและบาลีศึกษา ให้แก่เด็กหญิงที่บวชและไม่ได้บวชแต่สมาทานศีลซึ่งเป็นการจัดการศึกษาแบบให้เปล่านอกจากนั้นสำนักแม่ชีศาลาสันติสุข อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐมได้เปิดการเรียนการสอนบาลีศึกษาแก่แม่ชีตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๑ จนถึงปัจจุบัน ขณะเดียวกันนั้น ภาพลักษณ์ทางสังคมของแม่ชีก็ดีขึ้น พระไพศาล วิสาโล ให้เหตุผลอย่างน่าสนใจว่า
“เป็นไปได้ว่า ผู้หญิงอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในวัดคือแม่ชี จะมีบทบาทและสถานภาพสูงขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนชั้นกลางที่มีการศึกษาจะเข้ามาบวชชีมากขึ้น อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะแม่ชีเองก็มีความพยายามที่จะพัฒนาคุณภาพของตนเองให้สูงขึ้นด้วย เช่น มีการจัดองค์กรควบคุมดูแลกันเอง (สถาบันแม่ชีไทย) และให้การศึกษาหรืออบรมฝึกฝนแม่ชีด้วยกันทั้งในทางปริยัติและปฏิบัติ (มหาปชาบดีเถรีวิทยาลัย) ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความสำเร็จของแม่ชีหากจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะการอุปถัมภ์สนับสนุนของฆราวาสหญิงที่เป็นคนชั้นกลาง ซึ่งนับวันจะมีทัศนคติที่ดีต่อแม่ชีมากขึ้น”
ยิ่งไปกว่านั้นปรากฏการณ์หนึ่งซึ่งเป็นผลหนึ่งที่เกิดจากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๔๕ คือ แม่ชีมีสิทธิเข้าศึกษาในสถานศึกษาไทยในระดับปริญญาตรีปริญญาโทและปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยของรัฐบาลได้ สำหรับระดับปริญญาตรีนั้นถ้าเป็นมหาวิทยาลัยปิด มีการคัดเลือกนิสิตด้วยการสอบ Entrance ซึ่งมีการแข่งขันสูง ในส่วนของมหาวิทยาลัยเปิดนิสิตสามารถสมัครเข้าศึกษาได้โดยไม่ต้อง Entrance บางสาขาวิชาไม่อนุญาตให้นักบวชเรียน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชาญณรงค์ บุญหนุนให้เหตุผลว่า “วิชาบางวิชามีกิจกรรมไม่เหมาะสมกับนักบวช” นอกจากนั้นมหาวิทยาลัยของรัฐบาลได้เปิดการเรียนการสอนภาคพิเศษ (เรียนเฉพาะวันเสาร์วันอาทิตย์และเรียนภาคค่ำ) แม่ชีสามารถเข้าศึกษาได้ ส่วนมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเปิดการเรียนการสอนระดับปริญญาโทและปริญญาเอกสำหรับคฤหัสถ์และแม่ชี ตั้งแต่พ.ศ.๒๕๔๒ เป็นต้นมา หลังจากนั้นอีก ๑ ปี มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยจึงได้เปิดปริญญาตรีหลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิตสาขาวิชาอภิธรรม คณะพุทธศาสตร์ ในปี พ.ศ.๒๕๔๓ สำหรับแม่ชีและคฤหัสถ์ชายหญิง ส่วนมหาวิทยาลัยมหามงกุฏราชวิทยาลัยซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์อีกแห่งได้เปิดโอกาสให้แม่ชีศึกษาได้ในระดับปริญญาตรีเริ่ม พ.ศ.๒๕๔๒ ปริญญาโท ปี พ.ศ.๒๕๔๕ และปริญญาเอก ปี พ.ศ.๒๕๔๙ ข้อนี้แสดงให้เห็นว่า มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในเรื่องระบบการศึกษาที่แม่ชีสามารถเข้าถึงได้ดังที่กล่าวมานี้ ในขณะที่นักวิชาการทั้งไทยและนักวิชาการตะวันตกได้ศึกษาสถานศึกษาและโครงการศึกษาต่างๆ ของแม่ชีที่กล่าวมาข้างต้นนี้บ้างแล้ว แต่ยังไม่มีการศึกษาระดับลึกเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในระบบการศึกษาระดับสูงสำหรับแม่ชีที่จัดโดยมหาวิทยาลัยสงฆ์ไทยทั้งสองแห่ง ทั้งที่การเปิดโอกาสนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีความสำคัญไม่ใช่น้อย โลกของนักวิชาการยังไม่ได้เอาใจใส่ในการศึกษาวิเคราะห์เรื่องนี้เท่าที่ควร
ปี พ.ศ.๒๕๕๐ นักมานุษยวิทยา ลินเบอร์ก ฟอล์ค (Lindberg-Falk) ได้เขียนเกี่ยวกับการศึกษาของแม่ชีไทยในหนังสือเกี่ยวกับนักบวชหญิง ได้กล่าวถึงการศึกษาของแม่ชีไทยว่า “แม่ชีไม่ได้รับอนุญาตที่จะศึกษาระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยสงฆ์สองแห่งที่ประเทศไทยได้ นอกจากนี้ก็มีโอกาสน้อยสำหรับแม่ชีที่จะเข้าถึงการศึกษาระดับอุดมศึกษาได้” ในวิทยานิพนธ์เล่มเดียวกันนี้ ลินเบอร์ก ฟอล์ค (Lindberg-Falk) ก็ได้กล่าวถึงมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่จัดการศึกษาเฉพาะปัจเจกบุคคลเท่านั้น โดยอธิบายว่า “มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยที่เปิดโอกาสให้แม่ชีศึกษาในระดับปริญญาเอกได้เป็นกรณีพิเศษเฉพาะบุคคล” และในเล่มเดียวกันนี้ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า มีแต่บางชั้นเรียน (courses) ที่แม่ชีสามารถเรียนได้ ลินเบอร์ก ฟอล์ค (Lindberg-Falk) พูดถึงโอกาสในการศึกษาระดับปริญญาตรี ที่มหาปชาบดีเถรีวิทยาลัยเท่านั้น แต่ไม่กล่าวถึงมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ที่ได้เปิดโอกาสให้แม่ชี (และสตรีทั่วไป) ศึกษาได้ในทุกระดับตั้งแต่ปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอก
ในหนังสือ “บัดนาว” ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรก ในปีพ.ศ.๒๕๕๓ ภิกษุณีธัมมนันทา เขียนไว้ว่า “มหาวิทยาลัยสงฆ์ ๒ แห่งในกรุงเทพฯ ทั้งมหามกุฏราชวิทยาลัยและมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เดิมนั้นจัดการให้การศึกษาแก่พระเณรในธรรมยุตและมหานิกายเท่านั้น แม้ว่าปัจจัย ที่สนับสนุนเป็นงบประมาณจากรัฐบาลที่ได้มาจากภาษีอากรของราษฎรทั้งหญิงและชาย แต่การศึกษาพุทธศาสนาที่จัดให้ในมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งนี้ จำกัดเฉพาะพระภิกษุสงฆ์ ก็ดูว่าเป็นเรื่องที่สังคมให้ความชอบธรรมและยอมรับกันได้ นี่ไม่ใช่ความรุนแรงในเชิงโครงสร้าง ที่กระทำต่อสตรีในระดับรัฐหรือ?” ในบทความนี้ ภิกษุณีธัมมนันทาไม่ได้พูดถึงโอกาสของผู้หญิงในการเข้าถึงการศึกษาในมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่ง รวมทั้งการที่มหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งได้สนับสนุนมหาปชาบดีเถรีวิทยาลัยและสาวิกาสิกขาลัย ซึ่งจัดการเรียนการสอนโดยแม่ชี นอกจากนั้น ในวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกซึ่งยื่นที่มหาวิทยาลัย Minnesota ในปี พ.ศ.๒๕๕๓ Kaoru Adachi เขียนว่า “การขาดโอกาสในการศึกษาเป็นเรื่องตามแบบฉบับอีกเรื่องหนึ่งที่แม่ชีมีความกังวลขณะที่รัฐบาลสนับสนุนพระภิกษุในการศึกษาระดับอุดมศึกษาผ่านมหาวิทยาลัยสงฆ์สองแห่ง รัฐบาลไม่จัดโอกาสทางการศึกษาให้แก่แม่ชีเลย ผลสืบเนื่องจากการขาดแคลนโอกาส ในการศึกษาอย่างนี้เป็นเรื่องสำคัญ (serious)” ข้อความดังกล่าวนี้ถือว่าเป็นการสรุปโดยที่ข้อมูลยังไม่เพียงพอและครอบคลุม
การวิจัยครั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นผลการวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative) มีวิธีการวิจัยดังต่อไปนี้
๑. สัมภาษณ์แบบเจาะลึก (in-depth interviews (ใช้คำถามปลายเปิด ประชากร ที่สัมภาษณ์ แบ่งเป็น ๒ กลุ่มคือ
๑.๑ ผู้จัดการศึกษา ซึ่งมีบทบาทหน้าที่วางแผนและนโยบายการศึกษาสำหรับนักบวชและคฤหัสถ์ที่มหาวิทยาลัยสงฆ์ไทยทั้งสองแห่ง ประกอบด้วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ และพระผู้ใหญ่ระดับบริหารท่านอื่นๆ เพื่อศึกษาทัศนคติ มุมมองและประสบการณ์ในการบริหารจัดการและดำเนินการศึกษาสำหรับนักบวชหญิง
๑.๒ ผู้รับการศึกษา ประกอบด้วยแม่ชีที่เป็นนักศึกษาทั้งบาลีศึกษา อภิธรรมศึกษา และอุดมศึกษาในระดับต่างๆ การที่ผู้วิจัยเลือกวิธีสัมภาษณ์รายบุคคล ก็เพราะต้องการเก็บข้อมูลเชิงชีวประวัติส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับประสบการณ์ทางการศึกษาโดยมุ่งสอบถามเกี่ยวกับโอกาสอุปสรรคและปัญหาที่เผชิญมาในการเรียนบาลีศึกษาอภิธรรมศึกษาและอุดมศึกษา ในขณะเดียวกันนั้นก็เปิดโอกาสให้แม่ชีมีส่วนร่วมในการแสดงความรู้สึกทัศนคติและข้อเสนอตลอดเวลาสัมภาษณ์
การที่นักวิจัยคนหนึ่งในคณะวิจัย (แม่ชีกฤษณา รักษาโฉม) เป็นแม่ชีที่ผ่านการศึกษาที่จัดโดยคณะสงฆ์จากระดับปริญญาโทจนถึงปริญญาเอกเป็นรุ่นแรก (ในปี พ.ศ.๒๕๔๒ และพ.ศ.๒๕๔๕ ตามลำดับ) และปัจจุบันดำรงตำแหน่งอาจารย์ประจำที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลัยเป็นเวลา ๔ ปีมาแล้ว หมายความว่า มีประสบการณ์ทั้งในฐานะเป็นผู้รับการศึกษาและผู้จัดการศึกษา ทำให้คณะวิจัยได้มีโอกาสที่จะตรวจทานข้อมูล ใช้เครือข่าย สร้างความไว้วางใจ ในผู้ที่ให้ข้อมูลและพัฒนาคำถามปลายเปิดอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะแก่แม่ชี (ในขณะเดียวกันนั้นคณะวิจัยก็ต้องระมัดระวังความลำเอียงด้วย)
๒. การสัมภาษณ์เป็นกลุ่ม (focus group) เป็นการสัมภาษณ์กลุ่มแม่ชี ๑๐ ท่าน ที่เรียนบาลีศึกษา อภิธรรมศึกษาและอุดมศึกษา เพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับทัศนคติประสบการณ์และความรู้สึกส่วนบุคคล ที่ทำให้คณะวิจัยสามารถเห็นความแตกต่างและความคล้ายคลึงของทัศนคติและประสบการณ์ทางการศึกษาได้ชัดมากขึ้น ซึ่งทำให้เราสามารถไม่เพียงแต่เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างชัดมากขึ้นและประเมินประสิทธิภาพในการจัดการศึกษาได้ดีขึ้น หากยังเห็นสิ่งที่แม่ชีเห็นว่าดีขึ้นในสถานภาพของตนทางสังคมและการจัดการศึกษา พร้อมทั้งประสบการณ์ทางบวกและทางลบที่แม่ชีประสบในชีวิตประจำวัน (เช่น การเดินทางบนรถโดยสาร การได้รับความเคารพจากประชาชนและปฏิสัมพันธ์อย่างอื่นๆ กับประชาชน) การที่ผู้วิจัยเลือกใช้การสัมภาษณ์แม่ชี ที่เรียนบาลีศึกษา อภิธรรมศึกษาและเรียนระดับอุดมศึกษาเป็นกลุ่ม เพราะเป็นวิธีการเก็บและประเมินข้อมูลที่มีประสิทธิภาพมาก เนื่องจากใช้ปฏิสัมพันธ์อันเป็นพลวัตของกลุ่มแม่ชีที่ตกลงร่วมการสัมภาษณ์เป็นกลุ่มครั้งนี้ ตั้งใจที่จะแลกเปลี่ยนและเปรียบเทียบข้อมูลทัศนคติและประสบการณ์เสนอและพิจารณาข้อเสนอต่างๆ (ทั้งนี้ทั้งนั้นแม่ชีกลุ่มนี้ก็ไม่สามารถที่จะเป็นตัวแทนแม่ชีทั่วประเทศได้)
๓.การเก็บข้อมูลเชิงปริมาณ ในช่วงแรกๆ ของการวิจัยคณะวิจัยพัฒนาและแจกแบบสอบถามและได้รับแบบสอบถามคืนประมาณ ๓๐๐ ชุดโดยมีความตั้งใจเก็บข้อมูล เพื่อวิเคราะห์เชิงปริมาณ อย่างไรก็ตามเนื่องจากแจกแบบสอบถามที่สถาบันอุดมศึกษา และสถาบันแม่ชีไทยเท่านั้น ซึ่งหมายความว่า แบบสอบถามนี้ได้เก็บข้อมูลจากแม่ชีเฉพาะกลุ่ม ทีมวิจัยยังไม่สามารถสรุปแบบสอบถามจำนวน ๓๐๐ ชุดนี้ในทางสถิติได้ เพราะในหลายเรื่อง ผู้กรอกแบบสอบถามไม่สามารถเป็นตัวแทนของแม่ชีไทยทั่วประเทศได้ แต่อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยได้นำข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะในแบบสอบถามที่แม่ชีทั้ง ๓๐๐ รูปแสดงความคิดเห็นมาวิเคราะห์ประกอบข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์เพื่อให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างและประสิทธิภาพ ในการจัดการศึกษาชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้น แบบสอบถามนี้ แม้ว่า ไม่ได้ใช้ในการวิเคราะห์ เชิงปริมาณในครั้งนี้ ก็ยังเป็นแหล่งข้อมูลเชิงคุณภาพที่มีประโยชน์มากสำหรับงานวิจัยครั้งนี้
วัตถุประสงค์หลักอย่างหนึ่งของงานวิจัยนี้ คือ การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ผู้จัดการศึกษาและผู้รับการศึกษาและข้อแสดงความคิดเห็นจากแบบสอบถาม เพื่อเปรียบเทียบประสบการณ์ ทัศนคติ ประเมินศักยภาพ และประสิทธิภาพในการจัดการศึกษาของคณะสงฆ์แก่แม่ชีไทย
๒. การจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาของคณะสงฆ์ไทย
เพื่อเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันได้ดีขึ้น จำเป็นต้องศึกษาบริบททางประวัติศาสตร์ของการศึกษาที่คณะสงฆ์จัดการเรียนการสอน คณะวิจัยจึงได้ศึกษาผลงานพระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต)เป็นหลัก เพราะท่านได้ติดตามศึกษาเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ได้บรรยาย และวิเคราะห์สถานการณ์ทางด้านการศึกษาของคณะสงฆ์อย่างน่าสนใจ และมีช่วงหนึ่งที่ท่าน มีตำแหน่งเป็นผู้บริหารระดับสูงที่มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
การศึกษาในสังคมไทยในอดีตก่อนสมัยรัชกาลที่ ๕ นั้น คณะสงฆ์เป็นผู้จัดการเรียนการสอน วัดเป็นสถานที่ศึกษาเป็นสถานที่รักษาโรคต่างๆ เป็นสถานที่ให้ธรรมะแก่ชุมชนทุกเพศ ทุกวัย ช่วงพ.ศ.๒๔๓๒ เป็นต้นมา ได้มีมหาธาตุวิทยาลัย ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นมหาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลัย และพ.ศ.๒๔๓๖ ได้ก่อตั้งมหามกุฏราชวิทยาลัย ทั้งสองแห่งนี้สถาปนาโดยรัชกาลที่ ๕ คณะสงฆ์ได้จัดการศึกษาทั้งภาษาบาลี และวิทยาการสมัยใหม่ นอกจากนั้นพระองค์ได้ออกกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาของไทย ในปี พ.ศ.๒๔๔๑ โดยให้พระสงฆ์เป็นผู้จัดการศึกษาให้ประชาชน ซึ่งถือว่าเป็นฉบับแรกของไทยที่ประกาศใช้ในสมัยนั้น ในโครงการศึกษานั้น ได้กล่าวถึงการศึกษาของสงฆ์และบทบาทของสงฆ์ในการจัดการศึกษาของบ้านเมืองไว้อย่างชัดเจน และได้เขียนเป็นหมายเหตุไว้อย่างชัดเจนว่าให้รวม มหามกุฏราชวิทยาลัยเป็นส่วนเรียนวินัยและศาสตร์ มหาธาตุวิทยาลัยเรียนกฏหมาย หลังจากสิ้นรัชกาลที่ ๕ การศึกษาของไทยได้เปลี่ยนแปลงโดยที่บทบาทของวัดในฐานะเป็นศูนย์กลางการศึกษาน้อยลงมาก บทบาทของพระสงฆ์ในการเป็นครูผู้สอนในโรงเรียนค่อยหมดไป
พระราชวรมุนี (ป. อ. ปยุตฺโต) ได้กล่าวเรื่องนี้ว่า “เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอม เกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตใน พ.ศ.๒๔๕๓ สิ้นสุดรัชกาลที่ ๕ แล้วกระแสความคิดในทางการศึกษาแห่งชาติก็ผันแปรไปอย่างพลิกหน้าเป็นหลังมีความเปลี่ยนแปลงอย่างเด็ดขาดตัดตอนทันทีเกิดขึ้น การศึกษาของวัดกับของรัฐแยกต่างหากจากกัน รัฐรับเอาการศึกษาสำหรับทวยราษฎร์หรือการศึกษามวลชน ตลอดจนการศึกษาระดับสูงทั้งหมดไปจัดดำเนินการเองฝ่ายเดียว การศึกษาวิชาการสมัยใหม่สำหรับพระภิกษุสามเณร ซึ่งได้เริ่มต้นมาแล้วกว่าหนึ่งทศวรรษ ก็สะดุดหยุดลงแล้วหายไป” ดูเหมือนว่ารัฐให้ความสำคัญในเรื่องการศึกษาของสงฆ์น้อยลง ไม่มีคำกล่าวถึงพุทธศาสนาในแผนการศึกษาของชาติ พระราชวรมุนี (ป. อ. ปยุตฺโต) อธิบายในปี พ.ศ.๒๕๒๙ ว่า “ในโครงการและแผนการศึกษาแห่งชาติทุกฉบับทุกแผน ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๕๖ เป็นต้นมา ไม่มีคำกล่าวถึงพระสงฆ์ วัด ปริยัติธรรม หรือพุทธจักรอีกเลย” จนกระทั่งถึงปี พ.ศ.๒๔๘๙ คณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ได้จัดการเรียนการสอนระดับอุดมศึกษาแก่พระภิกษุสามเณร ใน มหามกุฏราชวิทยาลัย ปี พ.ศ.๒๔๙๐ คณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกายได้เริ่มจัดการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษาแก่พระภิกษุสามเณรที่มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พระราชวรมุนี (ป. อ. ปยุตฺโต) กล่าวว่า “เป็นการรื้อฟื้นการศึกษาระดับสูงขึ้นเพื่อสืบสานปณิธานรัชกาลที่ ๕ ซึ่งทำให้ลูกชาวไร่ชาวนาที่ยังเข้าไม่ถึงการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยของรัฐได้มีโอกาสเข้าอุดมศึกษาทางอื่นเพราะดูเหมือนว่าการจัดการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยของรัฐนั้นจัดให้ประชาชนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดีเป็นส่วนมากโดยละเลยลูกชาวไร่ชาวนาในชนบท”
พระราชวรมุนี (ป. อ. ปยุตฺโต) ได้กล่าวถึงเฉพาะปี พ.ศ.๒๕๑๗ ว่า “นิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยทั้งหลายของรัฐเป็นลูกชาวไร่ชาวนาไม่เกินร้อยละ ๖ ทั้งที่ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศไทย อยู่ในชนบทและเป็นชาวไร่ชาวนาประมาณร้อยละ ๗๖-๘๐ การลงทุนของรัฐทางด้านการศึกษากลายเป็นการลงทุนเพื่อคนที่มีโอกาสเหนือกว่าและได้เปรียบอยู่แล้ว” ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษา แต่ก็ยังไม่ทั่วถึงสังคมในชนบท พระราชวรมุนี (ป. อ. ปยุตฺโต) ได้กล่าวถึงข้อมูลนิสิตในมหาวิทยาลัยสงฆ์ว่า “มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ.๒๕๑๑-๒๕๑๖ พระนิสิตนักเรียนเป็นลูกชาวชนบทประมาณร้อยละ ๙๙ มาจากครอบครัวกสิกรร้อยละ ๙๑ ในขณะที่ในมหาวิทยาลัยของรัฐนิสิต นักศึกษาส่วนใหญ่เป็นลูกข้าราชการและพ่อค้าในเมืองในตลาดมีลูกกสิกรชาวชนบทห่างไกลเพียงร้อยละ ๖ หรืออย่างสูงไม่เกินร้อยละ ๘”
โดยปกติประชาชนชนบทไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่ดำเนินการโดยรัฐบาล พระเทพเวที (ป. อ. ปยุตฺโต) กล่าวว่า “ประชาชนไม่มีความเสมอภาคทางการศึกษา ประชาชนที่อยู่ในท้องถิ่นห่างไกล และยากจน เข้าไม่ถึงระบบการศึกษาของรัฐก็เลยต้องอาศัยช่องทางเก่าคือวัด” ดังนั้น วัดจึงต้องจัดการศึกษาให้บุคคลที่เข้ามาบวช พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) กล่าวเพิ่มเติมว่า “มันไม่ใช่เป็นหน้าที่ของพระสงฆ์ที่จะต้องช่วยให้การศึกษาแก่คนยากไร้แต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาล” อย่างไรก็ตาม คณะสงฆ์ก็ได้จัดการศึกษาให้ประชาชนที่เข้ามาบวชตามศักยภาพของตนแต่ประสิทธิภาพในการเรียนการสอนไม่สามารถเทียบได้กับการจัดการศึกษาของรัฐ พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) กล่าวเพิ่มเติมว่า “เป็นช่องที่พอกล้อมแกล้มไป ไม่ใช่หมายความว่าได้ผลเต็มที่ เด็กจากชนบทที่คณะสงฆ์ช่วยไว้ ก็ใช่ว่าจะได้รับการศึกษาดี ก็กระท่อนกระแท่นกันไป เพราะทางฝ่ายรัฐก็ไม่ได้ยอมรับ เป็นแต่เพียงว่ามันเกิดเป็นผลพลอยได้จากเรื่องเก่า อาศัยบทบาทเก่าเท่านั้น”
กล่าวได้ว่าประสบอุปสรรคในการบริหารจัดการ จำนงค์ ทองประเสริฐได้อธิบายจากประสบการณ์ของตนเอง ว่า “งบประมาณการเงิน ได้จากกรมการศาสนาปีละ ๖๐,๐๐๐ บาทเกือบจะไม่พอค่าใช้จ่าย การบริหารงานยังอยู่ที่กุฏิส่วนตัว การดำเนินการต่างๆ ยังไม่คล่องตัว ไม่มีสำนักงานกลางได้เรียนบ้างไม่ได้เรียนบ้าง” นอกจากปัญหาขาดงบประมาณและบุคคลกรในการจัดการและดำเนินการด้านอุดมศึกษาแล้ว คณะสงฆ์ยังเผชิญอุปสรรคหนักอย่างอื่นอีก คือ มีช่วงหนึ่งที่การศึกษาของรัฐพัฒนาขึ้นไปมากเท่าไหร่ การให้ความสำคัญแก่การจัดการศึกษาของคณะสงฆ์ก็น้อยลงนำไปสู่การไม่รับรองการศึกษาของมหาวิทยาลัยสงฆ์ และการศึกษาภาษาบาลีทั้งที่ทราบว่าไม่มีกฎหมายรับรองการศึกษาพระภิกษุสามเณรก็ต้องเรียนเพราะมีทางเลือกจำกัด จำนวนพระภิกษุสามเณรในมหาวิทยาลัยสงฆ์ได้มากขึ้นตามลำดับในขณะเดียวกันกับงบประมาณการเงินไม่พอค่าใช้จ่ายเพราะรัฐบาลจัดงบให้มหาวิทยาลัยสงฆ์จำนวนน้อยมาก เมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยของรัฐ พระพรหมคุณาภรณ์ )ป. อ. ปยุตฺโต) ให้หมายเลขที่สะท้อนความไม่เสมอภาคนี้ว่า “ในปี พ.ศ.๒๕๑๖ นั้น ที่มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ มีนักศึกษา ๘,๕๐๐ คน ได้รับเงินงบประมาณแผ่นดิน ๔๒,๘๘๓,๓๐๐.๐๐ บาท คิดเป็นค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัว ๕,๐๔๕.๐๐ บาท ในปี ๒๕๑๖ นั้นเช่นกัน ที่มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยซึ่งมีพระเณรเรียนอยู่ทั้งหมด ๙๗๕ รูป มีเงินงบประมาณทั้งสิ้น ๖๐๐,๐๐๐ บาท (จากงบประมาณแผ่นดินในรูปเงินอุดหนุน ๑๕๐,๐๐๐ บาท) นอกนั้น ได้รับอุปถัมภ์จากศาสนาสมบัติกลางและมูลนิธิอาเซีย กับเงินบริจาคทั่วไป คิดเป็นค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัว ๖๑๕ บาท” ดังนั้น พระราชวรมุนี (ป. อ. ปยุตฺโต) สามารถสรุปเรื่องนี้ได้ว่า “การศึกษาของภิกษุสามเณรส่วนใหญ่ได้รับทุนจากประชาชนบำรุงเลี้ยงโดยตรงตามความพอใจหรือสมัครใจ จึงอาศัยงบประมาณของรัฐน้อยที่สุดต่างจากระบบการศึกษาของรัฐ ที่รัฐจัดสรรกะเกณฑ์เอาจากเงินภาษีอากรที่ต้องจ่ายตามกำหนด” สืบเนื่องมาจากการที่รัฐบาลไม่รับรองวุฒิการศึกษาในมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองเป็นเหตุให้พระภิกษุสามเณรที่เรียนจบแล้วไม่สามารถศึกษาต่อในระดับปริญญาโทในประเทศไทยได้ พระราชวรมุนี (ป. อ. ปยุตฺโต) ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับวุฒิการศึกษาของพระสงฆ์ว่า “ถ้าเป็นพระสงฆ์จบเปรียญ ๙ หรือ จบมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่รัฐไม่รับรองแล้ว ก็ไปต่อในประเทศอินเดีย” S.J. Tambiah ได้เขียนเกี่ยวกับการรับรองการศึกษาบาลีของพระภิกษุสามเณรซึ่งเป็นผลงานเขียนเมื่อประมาณ ๓๖ ปีที่แล้วว่า “พระภิกษุหรือสามเณรที่จบเปรียญธรรม ๓ ประโยค สามารถเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ไม่นาน ต้องจบเปรียญธรรมอย่างน้อย ๖ ประโยคจึงจะสามารถเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ เมื่อไม่นานนี้การศึกษาบาลีไม่ว่าจะประโยคไหนก็ไม่สามารถเข้าศึกษาได้เลย”
มหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งมีความพยายามที่จะให้รัฐบาลรับรองปริญญาและสถานภาพของมหาวิทยาลัย ดังนั้นคณะสงฆ์ผู้ใหญ่และคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยสงฆ์ จึงได้ยื่นร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสงฆ์ เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๐ ในปีเดียวกันนี้ได้เกิดการปฏิวัติรัฐประหาร หลังจากนั้นก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และการคัดค้านจากบุคคลที่มีอำนาจ ตลอดจนการเมืองที่ไม่เสถียรภาพ เหตุปัจจัยเหล่านี้จึงเป็นอุปสรรคทำให้ล่าช้าถึงแม้ว่าความไม่แน่นอนทางการเมืองจะทำให้ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยไม่ได้รับการพิจารณา ถึงกระนั้นคณะสงฆ์ก็ยังคงพยายามต่อไปจนกระทั่งในปี พ.ศ.๒๕๒๗ รัฐบาลประกาศรับรองพระราชบัญญัติกำหนดวิทยฐานะของผู้สำเร็จวิชาการทางพระพุทธศาสนาในพระราชบัญญัติฉบับนั้นรับรองเฉพาะวุฒิการศึกษาของผู้ที่จบปริญญาตรีและบาลีเท่านั้น ข้อความในพระราชบัญญัติมีดังนี้ “ให้ผู้สำเร็จวิชาการพระพุทธศาสนาตามหลักสูตรพระปริยัติธรรม แผนกธรรมและแผนกบาลีสนามหลวงเปรียญธรรมเก้าประโยคมีวิทยฐานะชั้นปริญญาตรี เรียกว่า “เปรียญธรรมเก้าประโยค” ใช้อักษรย่อว่า “ป.ธ.๙”” ถือว่า เป็นความสำเร็จขั้นแรกของคณะสงฆ์ แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริงของคณะสงฆ์ เพราะการรับรองครั้งนี้รัฐบาลรับรองเพียงปริญญาบัตรเท่านั้น แต่ไม่ได้รับรองมหาวิทยาลัย รัฐจำกัดให้คณะสงฆ์จัดการศึกษาอยู่ในวงที่แคบคือปริญญาตรีเท่านั้น ไม่สามารถจัดการศึกษาระดับปริญญาโทและเอกได้ ในปี พ.ศ.๒๕๒๗-๒๕๓๙ พระสงฆ์ที่เรียนจบมหาวิทยาลัยสงฆ์แล้วไม่สามารถเรียนต่อการศึกษาระดับสูงทางพุทธศาสนาในประเทศไทยในเพศที่เป็นพระภิกษุสงฆ์ได้ พระราชวรมุนี (ป. อ. ปยุตฺโต) ได้ชี้ให้เห็นความไม่เสมอภาคของการศึกษา ที่รัฐจำกัดการศึกษาของคณะสงฆ์เพียงปริญญาตรีว่า “ คณะสงฆ์ซึ่งเ นสถาบันที่เป็น้นหลักของพระพุทธศาสนาในประเทศไทยขณะนี้ (พ.ศ.๒๕๒๙) มีการศึกษาสูงสุดแค่ปริญญาตรี ผู้สำเร็จการศึกษาสูงสุดของคณะสงฆ์แล้วอยากจะศึกษาต่อให้สูงกว่านั้นต้องไปนอก ไปนอก มี ๒ อย่างคือ ๑) ไปนอกประเทศ ไปเรียนต่อ เช่น ที่ประเทศอินเดียเป็นต้น ๒) ไปนอกวัด ต้องสึกไปเรียน ไปเป็นคฤหัสถ์" ดังนั้นคณะสงฆ์จึงได้เสนอร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ.๒๕๓๗ ท้ายที่สุดแล้วรัฐบาลรับรองในปี พ.ศ.๒๕๔๐ เมื่อมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งมีพระราชบัญญัติแล้วจึงได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล เป็นรายได้หลัก ปรากฏข้อความในมาตราที่ ๑๓ ว่า ”เงินอุดหนุนทั่วไปที่รัฐบาลจัดสรรให้เป็นรายปี”
หลังจากนั้น ๒ ปีต่อมาใน พ.ศ.๒๕๔๒ มหาวิทยาลัยสงฆ์ได้เปิดรับคฤหัสถ์ซึ่งก็รวมทั้งแม่ชีอยู่ในจำนวนนั้นด้วยด้วยเหตุผลที่ได้บันทึกไว้ในพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยว่า “โดยจัดตั้งสถาบันการศึกษาดังกล่าวขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยเพื่อดำเนินงานด้านการศึกษา วิจัยส่งเสริม และให้บริการทางวิชาการพระพุทธศาสนาแก่พระภิกษุสามเณร และคฤหัสถ์” เมื่อมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งมีพระราชบัญญัติแล้ว สถานะทางการเงินมีงบประมาณแน่นอนชัดเจน พระภิกษุสามเณรที่เป็นนิสิตต้องจ่ายค่าลงทะเบียนเรียน ในส่วนของแม่ชีจ่ายค่าลงทะเบียนเท่าพระภิกษุสามเณร สำหรับคฤหัสถ์ชายและหญิงจ่ายเต็มราคา
จะเห็นได้ว่า มหาวิทยาลัยสงฆ์ได้รับความไม่เสมอภาคทางการศึกษาดังที่กล่าวมาแล้วนั้นจึงทำให้มีงบประมาณไม่เพียงพอและไม่แน่นอนมาเป็นเวลา ๕๐ ปี การที่ยังคงจัดการเรียนการสอนต่อไปได้ เนื่องจากได้รับเงินจากการถวายจากประชาชนซึ่งเป็นรายได้ไม่แน่นอน นอกจากนั้น มีอีกข้อหนึ่งที่สำคัญมากในบริบทนี้ ก็คือไม่ได้มีความไม่เสมอภาคทางการศึกษาเนื่องด้วยสถานภาพทางเศรษฐกิจเท่านั้น หากยังมีความไม่เสมอภาคทางด้านการศึกษาที่เนื่องด้วยเพศภาวะด้วย ก็คือก่อน พ.ศ.๒๔๗๐ ผู้หญิงไทยไม่ได้มีโอกาสที่จะเรียนในวัดได้ จนกระทั่งช่วงสมัยนั้นฝ่ายผู้หญิงจึงมีแต่กลุ่มอภิสิทธิ์กลุ่มเล็ก อย่างเช่น หญิงชาววังที่สามารถอ่านเขียนได้
๓. ความไม่เสมอภาคทางการศึกษาระดับอุดมศึกษาของแม่ชีไทยในมุมมองประวัติศาสตร์
ในบทนี้คณะวิจัยจะศึกษาภาพรวมของการศึกษาระดับอุดมศึกษาและบาลีศึกษาพร้อมทั้งอภิธรรมศึกษาของแม่ชีเพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจน โดยจะศึกษาการศึกษาของแม่ชี ก่อนมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งมีพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย
ในประวัติศาสตร์บันทึกเรื่องแม่ชีไว้น้อยมาก ดูเหมือนว่า ส่วนมากสตรี ในประวัติศาสตร์ไม่นิยมบวชในขณะที่อายุยังน้อยแต่จะบวชเมื่ออายุมาก ตามที่ มองซิเออร์ เดอ ลา ลูแบร์ ได้เขียนบันทึกเป็นจดหมายเหตุเกี่ยวกับแม่ชีในสมัยอยุธยาใน พ.ศ.๒๒๓๒ สรุปใจความว่า “สตรีชาวสยามออกบวชเมื่ออายุขัยล่วงเข้าวัยชราแล้วไม่ปรากฏมีนางชีสาวๆ เลยไม่ได้มีทุกวัด” จดหมายเหตุฉบับของนิโคลาส์ แชร์แวส์ ซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศสที่มาอยู่ในเมืองไทยสมัยอยุธยา ได้กล่าวถึงแม่ชีว่า “สตรีชาวสยามรักเสรีภาพมากเกินไปกว่าที่จะยอมมอบตนอยู่ในสำนักเหมือนอย่างนางชีของเรา และที่จะมีชีวิตอยู่ภายในที่นั้นจนตลอดอายุ นางจะไปบำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่ ก็ต่อเมื่อล่วงเข้าถึงวัยที่เบื่อหน่ายในโลกียวิสัยแล้วเท่านั้น และน้อยรายนักที่จะอำลาจากสำนักนั้นออกมา ประการหนึ่งโดยที่พวกนางต้องติดต่อกับพระสงฆ์องค์เจ้าอยู่เสมอจึงได้มีกำหนดกฎเกณฑ์อนุญาตให้สตรีบวชเป็นชีได้ต่อเมื่ออายุล่วง ๕๐ ปี แล้วเท่านั้น เพื่อป้องกันครหา นางต้องโกนหัวโกนคิ้วเหมือนอย่างพระภิกษุ และต้องนุ่งขาวห่มขาว สีขาวนี้ถือเป็นสีที่สุภาพ สำหรับชนชาวสยามใช้ในโอกาสไว้ทุกข์ และคราวมีพิธีการที่สำคัญๆ พวกนางมิได้อยู่ในสำนักที่เป็นอาราม นางจากครอบครัวมาอยู่หมู่ละ ๓-๔ คน ในที่ใกล้ๆวัดนางมิได้ปฏิญาณตนและถือกำหนดกฎวินัยเอาตามอย่างภิกษุเท่านั้น ประพฤติปฏิบัติตนตามวินัยสงฆ์ทุกอย่าง ทั้งสวดมนต์ทุกวันและเจริญภาวนาเป็นเวลานานๆ อยู่ในโบสถ์ เวลาส่วนใหญ่ของนางคือปรนนิบัติพระสงฆ์ มีการจัดจังหันถวายและช่วยเหลือกิจการทางด้านต่างๆ ด้วยการอวยทานอยู่เนืองนิจ นางไปเยี่ยมคนจนและคนเจ็บไข้ได้ป่วยและบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นในด้านทานมัยอย่างเคร่งครัดด้วยประการนี้ ไม่มีสำนักเป็นของตนเองต้องอาศัยอยู่ในวัดของพระ กิจกรรมของแม่ชีสูงวัยเหล่านั้นคือปฏิบัติธรรม หรือการทำบุญโดยการช่วยบำรุงพระพุทธศาสนา และปรนนิบัติพระสงฆ์เท่านั้น” ดังนั้น จึงไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาของแม่ชีในประวัติศาสตร์
กิจกรรมแรกที่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์สำหรับการศึกษาของแม่ชีไทยปรากฏ ครั้งแรก ในสมัยรัชกาลที่ ๙ คือการศึกษาพระอภิธรรมหลักสูตร ๗ ปี ๖ เดือน มีทั้งหมด ๙ ชั้น ได้เปิดการเรียนการสอนครั้งแรกใน พ.ศ.๒๔๙๔ ที่วัดระฆังโฆสิตาราม ธนบุรี กรุงเทพมหานคร เป็นการจัดการศึกษาของคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกายนำโดยพระพิมลธรรม (อาจ อาสภมหาเถร) โดยเปิดรับสมัครแม่ชีเข้าเรียนร่วมกับพระสงฆ์ หลังจากนั้นในปี พ.ศ.๒๕๐๙ มีแม่ชีสำเร็จตามหลักสูตรจำนวน ๒ รูป รวมแม่ชีที่เรียนสำเร็จอภิธรรมตามหลักสูตรตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน (๒๕๕๔ ) จำนวน ๑๕๒ รูป เฉลี่ยแม่ชีที่เรียนสำเร็จจำนวนมากที่สุดในปี พ.ศ.๒๕๓๘ จำนวน ๑๐ รูป นอกนั้นประมาณปีละ ๗-๙ รูปต่อปี ปี พ.ศ.๒๕๑๑ คณะสงฆ์วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพมหานคร ฝ่ายมหานิกาย ได้จัดการเรียนการสอนพระอภิธรรม แม่ชีเข้าศึกษาร่วมกับพระสงฆ์ จำนวนแม่ชีที่สำเร็จการศึกษาอภิธรรมตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๑๑-๒๕๕๔ มีจำนวน ๒๕๐ รูป ในปี พ.ศ.๒๕๕๑ มีแม่ชีสำเร็จการศึกษาอภิธรรมจำนวนมากที่สุด ๑๙ รูป นอกนั้น ปีละ ๑๐ รูป หรือ๑๔ รูป พ.ศ.๒๕๒๔ การศึกษาอภิธรรมได้เป็นหน่วยงานหนึ่งของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มีสาขาทั้งในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด ๕๗ สาขา
ในปี พ.ศ.๒๕๐๖ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย คณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกายได้จัดการศึกษาภาษาบาลีแก่แม่ชีมีทั้งหมด ๙ ชั้น ใช้หลักสูตรเดียวกับพระสงฆ์ และสามารถเรียนร่วมกับพระสงฆ์ได้ มหามกุฏราชวิทยาลัยเป็นเพียงสถานที่จัดสอบและรับรองผลการศึกษาบาลีของแม่ชีเท่านั้น ไม่ได้อยู่ในกำกับของแม่กองบาลีของมหาเถรสมาคมเหมือนการศึกษาของคณะสงฆ์ ดังนั้นแม่ชีจึงไม่ได้สอบรวมกับพระสงฆ์ แม่ชีที่เรียนบาลีรุ่นแรกมีจำนวน ๑๒ รูป ใน ๑๒ รูปนั้นไม่มีแม่ชีที่เรียนสำเร็จตามหลักสูตรบาลีชั้นที่ ๙ มีเพียงแม่ชีที่สอบผ่านบาลีชั้นที่ ๖ เท่านั้น ในปี พ.ศ.๒๕๒๙ มีแม่ชีสำเร็จบาลีชั้นที่ ๙ เพียง ๑ รูปเท่านั้น นับเป็นเวลา ๒๓ ปีจึงมีแม่ชีสำเร็จการศึกษา หลังจากนั้นมีแม่ชีสำเร็จบาลีศึกษา ๙ ประโยค อย่างมากที่สุด ปีละ ๒ รูปเท่านั้น ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๐๖ ถึง ๒๕๕๔ รวมเวลา ๔๙ ปี มีแม่ชีสำเร็จบาลีศึกษา ๙ ประโยคในประเทศไทย รวมทั้งหมด ๒๐ รูป
มหามกุฏราชวิทยาลัยรับรองการศึกษาบาลีของแม่ชีด้วยการออกประกาศนียบัตรและพัดเกียรติยศให้เป็นไปตามแบบคณะสงฆ์ ดังคำประกาศของมหาวิทยาลัย มหามกุฏราชวิทยาลัยว่า “ให้ใช้หลักสูตรและเกณฑ์การวัดผลของพระปริยัติธรรมแผนกบาลีสนามหลวงเป็นหลักสูตรและเกณฑ์การวัดผลบาลีศึกษาโดยอนุโลม” ในเรื่องการมอบประกาศนียบัตรและพัดเกียรติยศของแม่ชีมีความแตกต่างกัน มีรายละเอียดดังนี้ บาลีศึกษา ๓ บาลีศึกษา ๖ และบาลีศึกษา ๙ ได้รับพัดเกียรติยศพร้อมประกาศนียบัตร ใน ๓ ประเภทนี้มีส่วนแตกต่างคือ บาลีศึกษา ๓ และ ๖ นั้น รับประกาศนียบัตรและพัดเกียรติยศจากสมเด็จพระสังฆราช สำหรับบาลีศึกษา ๙ ได้รับพัดเกียรติยศจากพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าโสมสวลีพระวรราชาทินัดดามาตุ พระองค์เสด็จประทานพัดเกียรติยศแก่แม่ชีที่สำเร็จบาลีศึกษา ๙ ประโยคครั้งแรกในประวัติศาสตร์แห่งการศึกษาภาษาบาลี ของแม่ชีไทยใน พ.ศ.๒๕๒๙ ที่ตึกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย ในส่วนของบาลีศึกษา ๑-๒, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘ รับเฉพาะประกาศนียบัตรจากสมเด็จพระสังฆราชหรือผู้แทนสมเด็จพระสังฆราช
ถึงแม้แม่ชีจะได้รับการศึกษาบาลีเหมือนพระภิกษุสามเณร แต่ก็มีอีกส่วนหนึ่งที่ไม่เหมือนกันคือ ภิกษุสามเณรที่เรียนจบประโยค ๙ นั้น ได้รับนิตยภัตร (เงินเดือน) จากรัฐบาลโดยผ่านกรมการศาสนา ปัจจุบันนี้ผ่านสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำหรับแม่ชีที่จบบาลีศึกษา ๙ประโยค ไม่ได้รับนิตยภัตรเช่นนั้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะการจัดการศึกษาบาลีศึกษาของแม่ชีไม่ไช่งานของมหาเถรสมาคม ดังนั้นมหาเถรสมาคมจึงไม่ได้มอบนโยบายให้แม่กองบาลีดำเนินการจัดการศึกษาภาษาบาลีให้แก่แม่ชี แต่เป็นการจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย การศึกษาภาษาบาลีของคณะสงฆ์ได้รับการรับรองโดยมีพระราชบัญญัติ พ.ศ.๒๕๒๗ ใน มาตรา ๓ ว่า “วิชาการพระพุทธศาสนาหมายความว่า วิชาการซึ่งจัดให้พระภิกษุสามเณรศึกษาตามหลักสูตรพระปริยัติธรรมแผนกธรรมและแผนกบาลีสนามหลวง” ในช่วงที่มีพระราชบัญญัติรับรองการศึกษาของคณะสงฆ์นั้น แม่ชีได้รวมกันก่อตั้งมูลนิธิสถาบันแม่ชีไทยแล้ว แต่แม่ชียังไม่ได้รับการสนับสนุนให้เรียนมหาวิทยาลัยสงฆ์
ในส่วนของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อ วันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๗ ศาสตราจารย์ ดร.วัชระ งามจิตรเจริญได้กล่าวถึงการที่แม่ชีไม่ได้เข้ามาศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่า “ไม่มีระเบียบหรือกฎห้ามแม่ชีเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่ไม่มีแม่ชีมาสมัครเข้าเรียน อาจเนื่องจากจารีตประเพณีไทยที่นักบวชไม่ควรมายุ่งเกี่ยวกับการเรียนทางโลกและเมืองไทยมองแม่ชีไทยแบบก้ำกึ่งระหว่างคฤหัสถ์และนักบวชจึงไม่มีแม่ชีมาสมัครเรียน ใน พ.ศ.๒๕๒๘ มีพระสงฆ์สามารถเข้าเรียนในระดับปริญญาโทที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยมหิดลได้ ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไม่ปรากฏมี แม่ชีมาเรียน ต่อมาใน พ.ศ.๒๕๔๐ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เปิดสอนในสาขาวิชาพุทธศาสนศึกษา มีแม่ชีมาสมัครเรียน ๑ รูป ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๔๐ เป็นต้นมา ถึงปี พ.ศ.๒๕๕๔ มีแม่ชีเรียน ๑๑ รูปกำลังจะมีแม่ชีเรียนสำเร็จเป็นรูปแรก” อีกประการหนึ่ง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นมหาวิทยาลัยปิด คือมีการสอบแข่งขันเข้าศึกษา ดังนั้น มหาวิทยาลัยจึงคัดบุคคลเข้าศึกษาด้วยคะแนนตามเกณฑ์ ซึ่งแตกต่างจากมหาวิทยาลัยเปิดที่ไม่มีการสอบแข่งขันสามารถเข้าไปเรียนได้ แม่ชีส่วนมากมองว่า ตนเป็นนักบวชจึงมุ่งเรียนธรรมะและเรียนวิปัสสนาเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม มีแม่ชีบางกลุ่มเท่านั้นที่มุ่งไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเปิด คือมหาวิทยาลัยรามคำแหง ในปีพ.ศ.๒๕๒๐ มีแม่ชีศึกษาในมหาวิทยาลัยรามคำแหงรุ่นแรก คือแม่ชีอุดมศรี ช่อเกตุ หลังจากนั้น ๕ ปี คือ พ.ศ.๒๕๒๕ แม่ชีสีสลับ อุปมัย และแม่ชียุพิน ดวงจันทร์ ได้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ แม่ชีสีสลับ อุปมัย ให้ข้อมูลว่า “ครั้งแรกในการเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงนั้นทางวัดไม่อนุญาต เพราะเป็นนักบวชแล้วไม่ควรเรียนในมหาวิทยาลัยทางโลก แต่เมื่อไปเรียนแล้วทางวัดก็ไม่ท้วงติง จนกระทั่งเรียนจบ แม่ชีวัดปากน้ำเป็นแม่ชีรุ่นแรกที่เข้าไปเรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหง” มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ก่อตั้งในปี พ.ศ.๒๕๒๑ เป็นมหาวิทยาลัยเปิด และเป็นอีกมหาวิทยาลัยหนึ่งที่แม่ชีเลือกศึกษา สาเหตุที่แม่ชีเลือกศึกษา ที่มหาวิทยาลัยเปิดทั้งสองแห่งนี้เพราะค่าเรียนไม่สูงเข้าถึงง่าย นักบวชสามารถศึกษาได้ เปิดรับนักศึกษาไม่จำกัดจำนวน ศึกษาได้ด้วยตนเอง ในส่วนของมหาวิทยาลัยเอกชนนั้นไม่มีข้อห้ามสำหรับแม่ชี คณะวิจัยไม่สามารถตรวจสอบจำนวนแม่ชีที่ลงทะเบียนเรียนของมหาวิทยาลัย ทั้งสองแห่งและมหาวิทยาลัยเอกชนได้เพราะแม่ชีเหล่านั้นใช้คำนำหน้าชื่อนางสาวตามบัตรประจำตัวประชาชนในการเข้าศึกษา
๔. การเข้าถึงการศึกษาระดับอุดมศึกษาของแม่ชีไทย
หลังจากที่มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยและมหามกุฏราชวิทยาลัยมีพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยใน พ.ศ.๒๕๔๐ การศึกษาของแม่ชีในช่วงกว่า ๑๐ ปีที่ผ่านมานี้ดีขึ้นจนถึงระดับสูงสุดคือปริญญาเอก ที่เป็นเช่นนี้อันเนื่องมาจากการศึกษาของคณะสงฆ์ที่มั่นคง นั่นคือการ มีพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย กล่าวได้ว่าได้หลุดจากความเป็นมหาวิทยาลัยที่ไม่มีกฎหมายรับรองแล้ว ซึ่งในช่วงนั้นถึงกับถูกเรียกว่าเป็น “มหาวิทยาลัยเถื่อน” ในพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสงฆ์ พ.ศ.๒๕๔๐ มีวัตถุประสงค์ ให้มหาวิทยาลัยเป็นสถานศึกษาและวิจัย มีวัตถุประสงค์ให้การศึกษา วิจัย ส่งเสริม และให้บริการทางวิชาการพระพุทธศาสนาแก่พระภิกษุสามเณรและคฤหัสถ์ ดังนั้น พ.ศ.๒๕๔๒ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยจึงได้เปิดรับแม่ชีและคฤหัสถ์เข้าเรียนระดับปริญญาโท ในแม่ชี ๓ รูปนั้น สำเร็จการศึกษาปริญญาเอก ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๑ รูป สำเร็จปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยเดลีประเทศอินเดีย ๑ รูป ทั้งสองเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยและมหาปชาบดีเถรีวิทยาลัย ปี พ.ศ.๒๕๔๓ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้เปิดในระดับปริญญาเอกในส่วนปริญญาตรีนั้นเปิดรับคฤหัสถ์และแม่ชี ในปี พ.ศ.๒๕๔๘ สาเหตุที่เปิดปริญญาตรีช้าเนื่องจากคณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยได้แก้ไขข้อบังคับ แก้ไขข้อความที่ทำให้เปิดรับคฤหัสถ์และแม่ชีเข้าเรียนได้ในระดับปริญญาโทแล้วเสร็จก่อนปริญญาตรี นับตั้งแต่มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้เปิดรับแม่ชีเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษา เริ่มใน พ.ศ.๒๕๔๒ จนถึง ๒๕๕๔ ได้มีแม่ชีสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกจำนวน ๑ รูป ระดับปริญญาโทจำนวน ๑๓ รูป ระดับปริญญาตรีจำนวน ๘ รูป
นอกจากนั้น มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ยังได้รับรองการศึกษาพระอภิธรรมที่มีการเรียนการสอนอยู่ก่อนแล้ว แต่ยังไม่ได้มีการรับรองการศึกษาจากสภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยโดยมติคณะกรรมการสภามหาวิทยาลัย ได้ประกาศเทียบความรู้การศึกษาอภิธรรมในปี พ.ศ.๒๕๔๖ ดังข้อความในประกาศว่า “ประกาศนียบัตรมัชฌิมอาภิธรรมิกะเอกเทียบเท่ามัธยมศึกษาตอนปลาย ประกาศนียบัตรอภิธรรมบัณฑิต เทียบเท่าปริญญาตรี”
ในส่วนของมหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัยได้เปิดรับแม่ชีเข้าศึกษาระดับปริญญาตรีครั้งแรกในปี พ.ศ.๒๕๔๒ ปริญญาโท พ.ศ.๒๕๔๕ ปริญญาเอก พ.ศ.๒๕๔๙ มีแม่ชีสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี จำนวน ๔๓ รูป ระดับปริญญาโท จำนวน ๒๙ รูป และ ปริญญาเอก จำนวน ๑ รูป จำนวนแม่ชีที่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งต่างกัน น่าจะสันนิษฐานได้ว่า มูลนิธิสถาบันแม่ชีไทยมีสำนักงานอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย แม่ชีจึงมีความคุ้นเคยกับมหาวิทยาลัยแห่งนี้เริ่มตั้งแต่พ.ศ.๒๕๑๒ สำหรับการศึกษาภาษาบาลี นั้นนับตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๐๖ ยังไม่ได้มีการรับรองการศึกษา ดังนั้น ใน พ.ศ.๒๕๔๓ มหาวิทยาลัย มหามกุฏราชวิทยาลัย จึงประกาศรับรองสถานะบาลีศึกษาของแม่ชีโดยรับรองการศึกษาภาษาบาลีของแม่ชีเป็นหลักสูตรประกาศนียบัตรของมหาวิทยาลัยให้ผู้เรียนมีวุฒิสอดคล้องกับการศึกษาภาษาบาลีของคณะสงฆ์ ผู้สำเร็จการศึกษาบาลี ๕ ประโยคเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรี ผู้สำเร็จการศึกษาบาลี ๙ ประโยค เข้าเรียนต่อในระดับปริญญาโทของมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งและสามารถนำประกาศนียบัตรสมัครเรียนในระดับปริญญาโทในมหาวิทยาลัยของรัฐบาลได้ มีข้อความในประกาศดังต่อไปนี้ “สภามหาวิทยาลัยมีมติอนุมัติให้มีการเรียนการสอนภาษาบาลีตั้งแต่บาลีประโยค ๑-๒ ถึงบาลี ๙ ประโยคในมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยตามความเหมาะสมโดยใช้อักษรย่อว่า “บ.ศ.” ให้ใช้หลักสูตรและเกณฑ์การวัดผลของพระปริยัติธรรมแผนกบาลีสนามหลวงเป็นหลักสูตรและเกณฑ์การวัดผลบาลีศึกษาโดยอนุโลม ให้เทียบชั้นการจบของแต่ละประโยคกับประโยคเปรียญธรรม ตามหลักสูตรพระปริยัติธรรมแผนกบาลีสนามหลวง” มหาวิทยาลัยประกาศสนับสนุนการเรียนการสอนภาษาบาลีให้แก่แม่ชีโดยใช้มาตรฐานหลักสูตรเหมือนของพระสงฆ์ทุกประการ ให้ใช้อักษรย่อ บ.ศ. ซึ่ง มาจากคำเต็มว่า “บาลีศึกษา” เช่น “บาลีศึกษา ๓” เป็นต้น
มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งมุ่งที่จะส่งเสริมการศึกษาทั้งแม่ชีและสตรีคฤหัสถ์ เพื่อต้องการให้สตรีได้มีความรู้ทางธรรม มุ่งให้สามารถนำความรู้ไปสั่งสอนให้สังคมได้รับประโยชน์ทั้งทางโลกและทางธรรม คำนวณจากระยะเวลาที่มหาวิทยาลัยสงฆ์ได้จัดการเรียนและการสอนมาแล้วเป็นเวลากว่า ๕๐ ปี ดูเหมือนว่าเป็นเวลานาน กว่ามหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งจะรับแม่ชีเข้าเรียน จากการสัมภาษณ์คณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งต่างมีความเห็นอย่างสอดคล้องกันเกี่ยวกับการรับแม่ชีเข้าเรียน ว่าด้วยเหตุผลหลักๆ คือยังไม่มีพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย ไม่มีงบประมาณในการจัดการเรียนการสอน ห้องเรียนไม่เพียงพอ
พระศรีคัมภีรญาณ (สมจินต์ สมฺมาปญฺโญ) อธิบายว่า “ตอนนั้นสังคมยังไม่อยากให้สตรีเข้ามาเรียนอยู่ในที่เดียวกันกับพระ คือถ้าจะเข้ามาเรียนก็ต้องแยกห้องเรียน ก็มีข้อติเตียนจากผู้ใหญ่ ก็ในเมื่อที่ไม่พอ แล้วยิ่งมาแยกห้องอีกก็ยิ่งไม่พอเพิ่มอีก ครูบาอาจารย์ก็น้อยอยู่แล้วถ้าแยกก็ต้องเกิดปัญหาอยู่แล้ว”
การศึกษาของแม่ชีนั้นอันนี้เป็นความปรารถนาอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาของแม่ชีหรือของภิกษุสามเณร ทั้งพระทั้งแม่ชีบวชเข้ามาแล้วต้องศึกษาเล่าเรียน ทางวัดให้การศึกษาทั้งนักธรรม ธรรมศึกษา บาลีศึกษาและส่งเสริมสนับสนุนให้แม่ชีเรียนมหาวิทยาลัย” สอดคล้องกับคำให้สัมภาษณ์ของแม่ชีที่สำเร็จการศึกษาบาลี ๙ ประโยคสังกัดวัดปากน้ำว่า “เมื่อเรียนสำเร็จบาลีศึกษา ๙ ประโยคแล้ว สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปญฺโญ) มอบทุนการศึกษาให้ ๕๐,๐๐๐ บาท สมาคมศิษย์หลวงพ่อวัดปากน้ำให้รางวัลทุนการศึกษา ๕,๐๐๐ บาท”
อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย ได้สนับสนุนแม่ชีที่มีผลการเรียนดี โดยการมอบหนังสือสำหรับเรียนในชั้นเรียน ไม่ได้สนับสนุนเป็นเงิน สำหรับสาวิกาสิกขาลัยนั้นมีทุนสนับสนุนการศึกษาระดับปริญญาโทแก่แม่ชี ๒ ทุน ทุนละ ๒๗,๕๐๐ บาทต่อเทอม สนับสนุนจนกระทั่งสำเร็จการศึกษา ปริญญาตรีมีจำนวนทุน ๒ ทุน เทอมละ ๑๒,๓๐๐ บาท สนับสนุนจนสำเร็จการศึกษา ขึ้นอยู่กับจำนวนคนที่ขอทุน มีคณะกรรมการของมูลนิธิเสถียรธรรมสถานพิจารณาให้ทุน แม่ชีที่เรียนสาวิกาสิกขาลัยเสถียรธรรมสถานปริญญาโท ปี ๒๕๕๑ ครั้งแรกทั้งหมด ๓ รูป ได้ทุนจากมูลนิธิเสถียรธรรมสถาน ๑ รูป การให้ทุนของสาวิกาสิกขาลัยนั้นเป็นการพิจารณาให้เป็นรายๆ ไม่ใช่ให้ทั้งหมด ในส่วนของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย จัดทุนให้พระภิกษุสามเณรและแม่ชีที่เรียนมหามกุฏราชวิทยาลัย ปริญญาตรี ปริญญาโท สำหรับปริญญาตรีทุนละ ๑,๐๐๐ บาท ปริญญาโทจำนวนเงิน ๓,๐๐๐ บาท ในส่วนของ มหาปชาบดีเถรีวิทยาลัย สถานที่ศึกษาระดับปริญญาตรีของแม่ชี ซึ่งอยู่ในสังฆราชูปถัมภ์ มีกองทุนมูลนิธิมหาปชาบดีเถรีวิทยาลัย ทุนสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ทุนประชาชนที่บริจาคผ่านมูลนิธิ โดยกองทุนมูลนิธิได้ตั้งเงื่อนไขในการรับทุนคือแม่ชีหรือคฤหัสถ์สตรีที่ทำตามกฎคือสวดมนต์ไม่ขาด
การจัดการศึกษาบาลีศึกษาของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย “ในปี ๒๕๕๑-๒๕๕๓ ได้งบประมาณแผ่นดินจำนวนเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ในปี ๒๕๕๔ ได้งบประมาณจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ เงินงบประมาณเหล่านี้ได้ในหมวดโครงการบำรุงศิลปวัฒนธรรม (บาลีศึกษา) ในแผนงบประมาณของมหามกุฏราชวิทยาลัย งบเหล่านี้เป็นงบจัดการศึกษาของคณะแม่ชี” มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่จัดการเรียนการสอนพุทธศาสนาระดับปริญญาโทสาขาวิชาอื่นๆ ซึ่งมีพระภิกษุและแม่ชีเข้าศึกษา มีกองทุนให้พระเรียนปริญญาโท เรียกว่า กองทุนสร้างพระ ๖๐ ปีธรรมศาสตร์ เงินส่วนนี้เป็นเงินที่เหลือจากการสร้างพระพุทธรูปฉลอง ๖๐ ปีธรรมศาสตร์ งบส่วนนี้ให้เฉพาะพระภิกษุสามเณรที่เรียนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในส่วนของแม่ชีและฆราวาส จะได้ในกองทุนของภิกษุณีวรมัย กบิลสิงห์และกองทุนเอกชนเป็นบางครั้ง เช่น กองทุนราชตฤณมัยสโมสร ผู้มีสิทธิ์รับทุนคือนิสิตพระ นิสิตแม่ชี นิสิตคฤหัสถ์ ในส่วนเงินงบที่จัดให้แม่ชีไม่มีในแผนมหาวิทยาลัย แต่มีทุนสำหรับเขียนวิทยานิพนธ์สำหรับนักศึกษาทุกคนที่สอบผ่านโครงร่างวิทยานิพนธ์ทุนละ ๘,๐๐๐ บาท งบประมาณมหาวิทยาลัย ที่ให้ไปตามโครงการต่างๆ เช่น งบ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ในปี ๒๕๕๓ นี้ นำไปจ้างนักศึกษาช่วยงานอาจารย์ ในด้านต่างๆ เช่น งานธุรการของอาจารย์ในโครงการช่วยอาจารย์ประชาสัมพันธ์โครงการ เงินงบประมาณที่อาจารย์นำมาช่วยนิสิตนั้น ในปี ๒๕๕๔ มีจำนวน ๑ ทุน จำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท มอบให้แม่ชี ๒ รูป รูปละ ๕,๐๐๐ บาท นอกนั้นแม่ชีจะมีทุนต่างๆ จากเอกชนซึ่งรุ่นพี่หามาให้รุ่นน้อง สำหรับค่าเทอมของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ทั้งพระทั้งแม่ชีเสียค่าใช้จ่ายเต็ม ไม่มียกเว้น นอกนั้น มีประชาชนศรัทธาแม่ชีได้มอบทุนค่าเรียนหรือได้ทุนจากพระเถระผู้ใหญ่เช่น แม่ชีณัฐหทัย ฉัตรทินวัฒน์ ซึ่งเรียนปริญญาโท สาขาวิชาสตรีศึกษา ได้รับทุนสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ในส่วนของวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ มูลนิธิมหาธาตุวิทยาลัย มูลนิธิศรีสรรเพชญ์ ได้มอบทุนรางวัลแก่แม่ชีที่สอบบาลีศึกษาได้ เริ่มตั้งแต่ปี ๒๕๓๒ เรื่อยมาจนกระทั่งถึงปีปัจจุบัน นอกจากนั้นวัดได้มอบทุนรางวัลแก่แม่ชีที่สอบธรรมศึกษาผ่านทุกชั้นปี วัดใหญ่ชัยมงคล จ.พระนครศรีอยุธยา ได้สนับสนุนทุนการศึกษาให้แม่ชีเรียนบาลี เมื่อจบการศึกษาบาลีชั้นที่ ๙ แล้วทางวัดได้สนับสนุนให้เรียนต่อปริญญาโทและปริญญาเอก นอกจากนั้น แม่ชีที่เรียนสำนักศาลาสันติสุข ซึ่งเป็นสำนักแม่ชีที่เปิดการเรียนการสอนภาษาบาลีให้แก่แม่ชี นักเรียนภาษาบาลีได้รับเงินอุดหนุนจากกองทุนเจ้าของที่ดินที่ถวายที่ดินสร้างสำนักแม่ชีกองทุนนี้อยู่ในความดูแลของมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัยดูแลให้การอุปถัมภ์เรื่องเงินแก่แม่ชี สำนักแห่งนี้ได้รับการอุปถัมภ์ปัจจัยและอาหารแห้งจากประชาชนบริเวณรอบๆ สำนัก
๘. บทสรุป
ในชุมชน (บางที่) ภาพลักษณ์แม่ชีดีขึ้นมากเลยแม่ชีก็คือ อนาคาริกมีความหมายกว้างกว่าบรรพชิต เพราะคำว่าบรรพชิตคือพระภิกษุสามเณร แต่อนาคาริกมีความหมายกว้างกว่า ก็คือนักบวชอุปกรณ์ทางการศึกษาได้มากขึ้นและง่ายขึ้น ส่วนใหญ่แม่ชีจะต้องเสียเงินเอง เสียค่าน้ำค่าไฟ แม่ชีก็ต้องสึกก่อนแล้วค่อยมาบวชใหม่ เพราะต้องไปหาค่าใช้จ่ายก่อน แล้วค่อยมาบวชใหม่
ในขณะเดียวกันนั้น ทางมหาวิทยาลัยสงฆ์มีทั้งศักยภาพและความพร้อมใจในการสนับสนุน เรื่องการรับสมัครสถานที่เรียนและสนับสนุนเรื่องทุนในการศึกษา แต่มีปัญหาหลักอย่างหนึ่งว่า จำนวนแม่ชีที่เข้ามาเรียนมีน้อยซึ่งสาเหตุสำคัญน่าจะเกี่ยวข้องกับประเพณีไทยผู้ชายนิยมบวชตั้งแต่อายุยังน้อยคือบวชเป็นสามเณร เมื่ออายุครบ ๒๐ ปีบวชเป็นพระภิกษุ ซึ่งเป็นเรื่องค่านิยมทางวัฒนธรรมประเพณีและสถานภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้ลูกชาวบ้าน โดยเฉพาะลูกครอบครัวระดับล่างที่ไม่ค่อยมีกำลังทรัพย์ยังคงเลือกเส้นทางการรับการศึกษานี้อยู่ ฉะนั้น เด็กชายก็มีโอกาสเข้าสู่ระบบการศึกษาของคณะสงฆ์ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ในขณะเดียวกัน แม่ชีที่เข้าระบบการศึกษาของคณะสงฆ์ตอนอายุยังน้อยมีค่อนข้างน้อย แม่ชีที่อายุน้อยอยู่ในวัยที่จะเรียนปริญญาตรี แล้วมาเรียนต่อโท ก็มีไม่มาก ส่วนมากเป็นคนที่เขาอายุพอสมควรแล้วและอีกสาเหตุหนึ่งที่สำคัญ ก็คือ โอกาสในการเข้าถึงระบบการศึกษาของแม่ชีส่วนหนึ่ง ขึ้นอยู่กับนโยบายของเจ้าอาวาสแต่ละรูป ฉะนั้น วัดบางแห่งสนับสนุนการศึกษาของแม่ชีในขณะที่วัดบางแห่งไม่ได้ให้การสนับสนุนแก่แม่ชีเรื่องนี้ ดังนั้นข้อเสนอจากงานวิจัยนี้ เพื่อให้แม่ชีได้รับการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่คณะสงฆ์ปัจจุบันจัดจำนวนมากขึ้น ข้อเสนอ ๒ ข้อหลักดังต่อไปนี้ควรให้เกิดขึ้นอย่างควบคู่และสนับสนุนซึ่งกันและกันดังนี้
๑. การสร้างค่านิยม สร้างประเพณีนิยมใหม่ ไม่ใช่เฉพาะในกลุ่มของสตรีเองเท่านั้นแต่ในสังคมทั่วไปด้วย โดยการประชาสัมพันธ์กรณีศึกษาของแม่ชีที่แสดงให้เห็นว่า ชีวิตนักบวชสตรีเป็นชีวิตที่สวยงามได้ จัดระบบบวชช่วงปิดเทอมสำหรับแม่ชีน้อย (โครงการการบวชแม่ชีที่จัดโดยเสถียรธรรมสถานเป็นตัวอย่างที่ดี และได้ประสบความสำเร็จทางด้านนี้บ้างแล้ว) ในลักษณะเดียวกันกับระบบที่มีอยู่สำหรับเด็กชาย เพื่อให้ชวนบวชศึกษาธรรมะและเรียนต่อ วัตถุประสงค์ของข้อนี้คือ ให้ภาพลักษณ์ที่ดีระดับบุคคลช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีระดับสถาบัน (การส่งเสริมภาพลักษณ์ของสถาบันแม่ชีนี้ ควรร่วมการเผยแพร่ข้อมูลไปด้วยว่า แม่ชีไม่ได้รักษาเฉพาะศีลแปดเท่านั้น แต่ยังรักษาเสขิยวัตร อีก ๗๕ ข้อ ด้วย)
๒. สร้างโครงสร้างพื้นฐานเด็กผู้หญิงที่มีจุดประสงค์ว่าจะเรียนสูงแต่ไม่มีทุนทรัพย์เพียงพอ สามารถมาบวชเรียนได้ ควรมีการประชาสัมพันธ์ และ เก็บข้อมูลส่วนกลางการประสานงานระหว่างวัด สถานศึกษาและองค์กรที่ให้ทุน เพื่อให้ช่วยกันหาที่พักที่เหมาะสมสำหรับแม่ชี เพราะว่า ตอนนี้การให้ข้อมูลเกี่ยวกับโอกาสในการศึกษาก็คงยังมีประสิทธิภาพค่อนข้างน้อย เนื่องจากยังใช้ระบบปากต่อปาก นอกจากนั้นต้องเน้น “การป้อน” แม่ชีที่มีทักษะความสามารถทางด้านการศึกษาและตั้งใจที่จะศึกษาต่อระดับสูง ควรสร้างระบบที่อำนวยแก่การศึกษาของแม่ชี
นอกจากการประสานงานและนโยบายระดับสถาบันศึกษาต่างๆ ตามที่กล่าวมาแล้ว น่าจะเป็นประเด็นเรื่องการรับรองฐานะของแม่ชีทางกฎหมายด้วย ถึงกับว่า มีการให้เหตุผลว่า สภาพการไร้กฎหมายรับรองฐานะความเป็นนักบวชของแม่ชีอย่างชัดเจนและครอบคลุมเป็นสาเหตุหลักของปัญหาหลายอย่างที่แม่ชีต้องเผชิญ ตามคำกล่าวว่า “ถ้ามีกฎหมาย สถานภาพแม่ชีจะดีขึ้น การศึกษาจะดีขึ้นเหมือนกับว่าสังคมจะยอมรับมากขึ้น” นอกจากนี้แล้ว มีการให้เหตุผลในประเด็นนี้เพิ่มเติมว่า การรับรองทางกฎหมายจะช่วยให้ “แม่ชี...จะยืนบนขาตัวเองได้ จะมั่นคงขึ้นจะมั่นใจขึ้น สามารถที่จะเดินได้ด้วยตนเอง” และจะพ้นสภาพความคลุมเครือเกี่ยวกับฐานะความเป็นนักบวชของแม่ชี นอกจากนั้นแล้ว ตามวิจัยนี้ควรเปิดโอกาสเกี่ยวกับงานสอนศีลธรรมและจริยธรรมให้แม่ชีได้สอนตามโรงเรียนของรัฐบาลหรือเอกชนหรือสำนักเรียนของวัดเมื่อแม่ชีสำเร็จการศึกษาแล้ว ตามที่แม่ชีท่านหนึ่งกล่าวว่า “ไม่เปิดโอกาสให้แม่ชีใช้ความรู้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมหรือสำนัก ส่วนใหญ่จะเป็นหน้าที่ของพระ แม่ชีก็ใช้แรงงานเหมือนเดิม” ในขณะที่พระสุธีวรญาณ (พระมหาณรงค์ จิตฺตโสภโณ) ได้กล่าวถึง “การพัฒนาแม่ชีโดยให้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นมาสเตอร์ชี โดยกำหนดสถานภาพแม่ชีให้มีความชัดเจน ยกระดับความรู้ความสามารถแม่ชีให้ทัดเทียมพระสงฆ์เปิดโอกาสให้แม่ชีได้มีส่วนร่วมในการศึกษาพระศาสนาและการเผยแผ่พระศาสนาทั้งแก่เยาวชนในสถาบันการศึกษาต่างๆ และคนทั่วไป” ในขณะเดียวกันนั้น มีแม่ชีจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้สนใจในการเข้าสู่ระบบการศึกษา เนื่องจาก อายุมากแล้ว ตามที่กล่าวมาแล้วหรือเพราะว่า “บวชเพื่อพ้นทุกข์ ไม่ต้องการบวชเพื่อการศึกษา”
การที่สองเพศเรียนรวมกันที่มหาวิทยาลัยสงฆ์ ทั้งที่ช่วงแรกมีคนไม่พอใจเรื่องนี้เพราะเกรงว่า จะเกิดปัญหาจริยธรรมทางเพศนั้น จากประสบการณ์ของคณะวิจัยพบว่า เป็นประโยชน์สำหรับกระบวนการการเรียนรู้ระดับบุคคลและพลวัตในห้องเรียน ส่วนการบวชเป็นภิกษุณีนั้นแม่ชีส่วนมากไม่ได้มีความรู้สึกว่าความเป็นภิกษุณีมีประโยชน์ในการช่วยสตรีเรื่องการได้รับการศึกษา ดังที่แม่ชีท่านหนึ่งกล่าวว่า “ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับการศึกษาตรงนี้หรอก” และแม่ชีอีกท่านที่เป็นผู้แทนแม่ชีหลายท่านได้กล่าวว่า “สำหรับตัวเองความเป็นแม่ชีพอแล้ว การปฏิบัติของแม่ชีไม่ได้ปิดกั้นการบรรลุมรรคผลนิพพานเลย” เพราะฉะนั้น แม่ชีส่วนมากไม่เห็นจำเป็นต้องเรียกร้องให้มีภิกษุณีสงฆ์เถรวาทเกิดขึ้นมา บทวิจัยชิ้นนี้แสดงให้เห็นว่า จากมุมมองประวัติศาสตร์เรื่องการขาดความเสมอภาคในการเข้าถึงอุดมศึกษาที่จัดโดยคณะสงฆ์ไม่ได้เป็นเรื่องความไม่เสมอภาคระหว่างเพศเท่านั้น แต่เป็นเรื่องความไม่เสมอภาคระหว่างคนที่มีฐานะดีทางเศรษฐกิจกับคนด้อยโอกาสทางสังคมมากกว่า
มนตรี สืบด้วง.๒๕๕๑. แนวพินิจเชิงสตรีนิยมว่าด้วยผู้หญิงกับพระพุทธศาสนาเถรวาทในประเทศไทย.วิทยานิพนธ์ ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา.บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย.๒๕๕๔.งานมอบประกาศนียบัตรอภิธรรมบัณฑิต. กรุงเทพมหานคร: ธนาเพรสจำกัด.
เอนก นาวิกมูล.๒๕๔๗. หญิงชาวสยาม.กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์แสงดาว.
แม่ชีณัฐหทัย ฉัตรทินวัฒน์.๒๕๕๒.อัตลักษณ์ของแม่ชี:กรณีศึกษาแม่ชีวัดปากน้ำภาษีเจริญ. กรุงเทพมหานคร วิทยานิพนธ์ ตามหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสตรีศึกษา วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
๒.ภาษาอังกฤษ.
Chatsumarn Kabilsingh.1986. Buddhism and National Development: A Case Study of Buddhist Universities”. in: Religion, Bruce Matthews and Judith Nagata (eds.), Religion, values and Development in Southeast Asia. (Singapore: Institute of Southeast Asian Studies).
Gosling, David. 1988. New Directions in Thai Buddhism, Modern Asian Studies. Vol. 14. No. 3, 1980.
Gosling, David. 1998. The Changing Roles of Thailand’s Lay Nuns (Mae Chii). Southeast Asian Journal of Social Science, Vol. 26, No. 1 .
Lindberg Falk, Monica.2007. Making Fields of Merit: Buddhist Female Ascetics and Gendered Orders In Thailand. Copenhagen/Washington: NIAS Press and University of Washington Press.
Tambiah ,S.J..1976. World Conqueror and World Renouncer: A Study of Buddhism and Polity in Thailand Against a Historical Background. Cambridge: Cambridge University Press.
Terwiel, Barend Jan.2012. Siam Ten Ways to Look at Thailand’s Past . Gossenberg Oastasien Verlag.
แม่ชีณัฐหทัย ฉัตรทินวัฒน์ ,“อัตลักษณ์ของแม่ชี: กรณีศึกษาแม่ชีวัดปากน้ำภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร” วิทยานิพนธ์ ตามหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสตรีศึกษา วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๕๒, หน้า ๒๒๗-๒๒๘.
มนตรี สืบด้วง,“แนวพินิจเชิงสตรีนิยมว่าด้วยผู้หญิงกับพระพุทธศาสนาเถรวาทในประเทศไทย”, วิทยานิพนธ์ ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา, บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๑.หน้า ๒๑๒.
วันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๓,สัมภาษณ์.
แม่ชีรูปที่ ๒๘. วันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๓,สัมภาษณ์.
|