ในการศึกษาวิจัยพบว่า การศึกษาเปรียบเทียบเกณฑ์ตัดสินความดีในปรัชญาของ เพลโตกับพุทธปรัชญาเถรวาท มีความเหมือนกันและความแตกต่างกันของปรัชญาทั้งสอง
เกณฑ์ตัดสินความดีในปรัชญาของเพลโต พิจารณาโดยหลักสำคัญของจริยธรรมที่วางอยู่บนพื้นฐานของ “สัจภาพของมนุษย์” ทั้งใน “มิติปัจเจกภาพ” และ “มิติความเป็นสมาชิกของมนุษยชาติ” ตามหลักสิทธิ เสรีภาพ ภราดรภาพ ความเสมอภาค ความยุติธรรม อย่างเท่าเทียมกันในฐานะเป็นมนุษย์ด้วยเหตุผลและสติปัญญาที่สำคัญ คือ คุณธรรมของเพลโตที่มีความกลมกลืนกัน ๔ ประเภท คือ ๑) คุณธรรมทางปัญญา ๒) คุณธรรมทางความกล้าหาญ ๓) คุณธรรมทางความรู้จักประมาณ ๔) คุณธรรมทางความยุติธรรม คุณธรรมทั้ง ๔ ของเพลโต ถือว่าเป็นคุณธรรมที่จะปกครองทางสังคมและปัจเจกชนที่แสวงหาความยุติธรรมทางคุณธรรม ทางสังคมที่ทำให้จิตใจขัดเกลาด้วยความเมตตากรุณา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และอยู่ร่วมกันโดยสันติ มีกฎเกณฑ์ และมีกติกา ในสังคม
ส่วนเกณฑ์ตัดสินความดีของพุทธปรัชญาเถรวาท มีหลักการดำเนินชีวิตในสังคม ที่มีจุดมุ่งหมายสูงสุด ที่เป็นอุดมคติของชีวิตในเกณฑ์ตัดสินว่า “การกระทำใดดีหรือไม่ดี ควรหรือไม่ควร” เพื่อให้บุคคลมีชีวิตที่ดีช่วยเหลือเกื้อกูลกันในสังคมได้เป็นอย่างดี ในการดำเนินชีวิตที่ดี พุทธปรัชญาเถรวาทจึงจัดระบบของเกณฑ์ตัดสินความดีไว้ ๓ ระดับ คือ ๑) ระดับศีล ๕ ๒) ระดับกุศลกรรมบถ ๑๐ และ ๓) ระดับมรรค ๘
เกณฑ์ตัดสินความดีของเพลโตกับพุทธปรัชญาเถรวาทจึงเน้นในการพิจารณาความถูกต้องของการกระทำที่มีเหตุผลและปัญญา นอกจากนี้อารมณ์หรือความรู้สึกทางกาย ทางใจ และทางอุดมคติ แบ่งได้ ๓ ระดับ คือ ๑) ระดับศีลธรรม ๒) ระดับคุณธรรม ๓.) ระดับจริยธรรม ดังนั้นเกณฑ์ตัดสินความดีของปรัชญาทั้งสองมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน พอจะสรุปได้ ๕ ประการ คือ ๑) เรื่องเจตนาและเหตุผลเป็นเป็นองค์ประกอบหลักเกณฑ์ตัดสินความดี ๒) เรื่องกฎแห่งเสรีภาพของเพลโตกับพุทธปรัชญาเถรวาท ๓) เรื่องคุณธรรมของเพลโตกับพุทธปรัชญาเถรวาท ๔) เรื่องเกณฑ์ตัดสินความดีกับแรงจูงใจของเพลโตกับ พุทธปรัชญาเถรวาท ๕) เรื่องความเป็นสากลและคุณค่าของมนุษย์ของเพลโตกับ พุทธปรัชญาเถรวาท อย่างไรก็ตาม ยังมีความแตกต่างกันในเรื่องของเจตนาและเหตุผลหรือปัญญา ในการตัดสินการกระทำของมนุษย์ว่า อะไรดี ชั่ว ถูก ผิด ตามทัศนะของปรัชญาทั้งสอง
นอกจากนี้ เกณฑ์ตัดสินความดีในปรัชญาของเพลโตกับพุทธปรัชญาเถรวาท ต่างกันก็คือ ความสุข ในทางพุทธปรัชญาเถรวาทมีการละกิเลสตัณหาที่ทำให้จิตของมนุษย์เศร้าหมอง แต่ในปรัชญาของเพลโตนั้น ไม่ได้ละกิเลสตัณหาอย่างเด็ดขาด หมายถึง มีคุณธรรมฝ่ายสูง คอยควบคุมความปรารถนาในคุณธรรมฝ่ายต่ำ ให้เป็นไปในทางที่ถูกที่ควรเท่านั้น ส่วนพุทธปรัชญาเถรวาท เป็นการละกิเลสตัณหาอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น เพลโตถือว่า แบบหรือมโนคติที่เป็นความดีสูงสุดของเพลโตสามารถบรรลุได้ก็ต่อเมื่อต้องตายลงเท่านั้น ส่วนผู้ที่มีชีวิตอยู่สามารถทำได้เพียงเป็นผู้รับความรู้เท่านั้น ซึ่งต่างกับพุทธปรัชญาเถรวาทที่บุคคลสามารถบรรลุได้ทั้งในขณะที่มีชีวิตและหลังตายไปแล้วในภพหน้าส่วนเพลโตถือว่า แบบหรือมโนคติของเขานั้นเป็นโลก ๆ หนึ่งที่อยู่เหนือประสาทสัมผัสเป็นที่อยู่ของแบบหรือมโนคติ ส่วนพุทธปรัชญาเถรวาทถือว่า อริยมรรค ๘ ประการ เป็นทางดำเนินไปสู่พระนิพพาน ได้แก่ ความเห็นชอบ, ความดำริชอบ, การพูดชอบ, การกระทำชอบ, การเลี้ยงชีพชอบ, ความเพียรชอบ, ความระลึกชอบ, ความตั้งใจมั่นชอบ โดยองค์ประกอบทั้ง ๘ ประการนี้ จะต้องดำเนินไปร่วมกัน และสอดคล้องกัน จึงจะสามารถเข้าถึงพระนิพพานหรือความดีสูงสุดได้ ส่วนเพลโตถือว่า แบบหรือมโนคติ จะต้องพัฒนาความดีของตนให้เกิดขึ้นตั้งแต่ความดีระดับต่ำจนไต่ขึ้นไปสู่ระดับของความดีสูงสุดได้ เป็นความดีที่มีอยู่ในร่างกายและความสวยงามของทุกสิ่งทุกอย่าง จนเห็นความดีงามของจิตวิญญาณและสภาวะที่มีอยู่จริง ที่เป็นศูนย์รวมของแบบทุกชนิดเป็นการชำระจิตของตนจนบริสุทธิ์ เมื่อตายไปวิญญาณส่วนนี้ก็จะได้เข้าเป็นหนึ่งเดียวกันแบบหรือมโนคติสูงสุดนั้นเอง
Download |