การวิจัยเรื่องการศึกษาวิเคราะห์เทคนิคการให้คำปรึกษาด้วยพุทธวิธีสำหรับนักเรียน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ๓ ประการ คือ (๑) พุทธวิธีการให้คำปรึกษาที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท (๒) เทคนิคการให้คำปรึกษาแก่นักเรียนในสังคมไทยปัจจุบัน และ (๓) วิเคราะห์เทคนิคการให้คำปรึกษาด้วยพุทธวิธีมาใช้กับนักเรียน การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาในเชิงเอกสาร โดยศึกษาข้อมูลจากพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา หนังสือและผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และนำมาวิเคราะห์สรุปข้อมูลในเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า
๑. พุทธวิธีการให้คำปรึกษาที่ปรากฎในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท มีวิธีการให้คำปรึกษาที่หลากหลาย และที่สำคัญมี ๒ วิธี ได้แก่ (๑) ตามหลักสมถกรรมฐาน คือมุ่งเน้นให้ผู้รับคำปรึกษาฝึกจิตให้มีความสงบ มีความเข้มแข็ง มีสมาธิในการเผชิญกับปัญหา ความทุกข์ที่ตนได้ประสบอยู่ด้วยปัญญา และ (๒) ตามหลักวิปัสสนากรรมฐาน คือมุ่งให้ผู้รับคำปรึกษาได้พิจารณา ตามความเป็นจริง ฝึกฝนให้เกิดสติปัญญา และรู้เท่าทันความคิดของตัวเองตามหลักสัมมาทิฎฐิ ไม่ถูกครอบงำด้วยอำนาจกิเลส
จะเห็นว่า การให้คำปรึกษาทั้ง ๒ วิธี มีจุดมุ่งหมายเดียวกันของการพัฒนามนุษย์แบบองค์รวม ไม่แยกส่วนประกอบระหว่างกายกับใจ และเป็นไปตามลักษณะนิสัยความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยพระพุทธองค์ทรงใช้ให้คำปรึกษาตามจริต ๖ เป็นองค์ประกอบสำคัญ
๒. เทคนิคการให้คำปรึกษาแก่นักเรียนในสังคมไทยปัจจุบัน พบว่า หลักธรรมสำหรับนำมาใช้เพื่อพัฒนาปัญญาของนักเรียนให้เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องของการดำเนินชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะมีจิตสำนึกในหลักศีลธรรม อันเป็นบรรทัดฐานความดีงามของชาวพุทธ ซึ่งมีคำสอนทางพระพุทธศาสนาเป็นทิศทางสำหรับควบคุมความประพฤติทางกาย วาจา ใจ โดยมีหลักอริยสัจจ์ ซึ่งเป็นทฤษฎีการให้คำปรึกษาที่สำคัญเพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับการแก้ปัญหาของมวลมนุษย์เกี่ยวข้องด้วยปัจจัย ๔ สำหรับยังอัตภาพร่างกายให้ดำรงอยู่ได้ และต้องพัฒนาแบบองค์รวมระหว่างทางกายกับทางใจตามหลักภาวนา ๔ เป็นองค์ประกอบสำคัญเพื่อนำไปสู่ผล คือ ความสุขของ มวลมนุษยชาติ
วิเคราะห์เทคนิคการให้คำปรึกษาด้วยพุทธวิธีมาใช้กับนักเรียน พบว่า ผู้ให้คำปรึกษานักเรียนประกอบด้วย พระสงฆ์ พ่อแม่ผู้ปกครอง และครูอาจารย์ จะต้องปฎิบัติตนถูกต้องตามหลักปฏิสัมพันธ์ในครอบครัวและสังคม โดยเฉพาะต้องปฎิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่นักเรียนตามหลักทิศ ๖ เพื่อจะได้น้อมนำไปใช้ในการดำเนินชีวิต ซึ่งเกี่ยวข้องกับการศึกษา การประกอบอาชีพ และการคบหาสมาคมกับเพื่อน ก็ต้องไม่ผิดหลักศีลธรรม อันเป็นจริยธรรม ขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ และเป็นตัวชีวัดความเจริญงอกงามทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ผ่านการพัฒนาตามหลักไตรสิกขา เพื่อแก้ไขปัญหาของชีวิต และเพื่อเป้าหมายสูงสุดของมนุษย์ คือ มุ่งหวังประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น ประโยชน์ร่วมกัน ทั้งสองฝ่ายก็ช่วยให้ก้าวหน้าไป และบรรลุประโยชน์ทั้งสามในที่สุด
download |