การศึกษาวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ ๓ ประการ คือ (๑) ศึกษาแนวคิดและวิธีการส่งเสริมสุขภาพผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังตามหลักเภสัชศาสตร์ (๒) ศึกษาแนวคิดและวิธีการส่งเสริมสุขภาพผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังตามหลักพระพุทธศาสนา (๓) สร้างกระบวนการส่งเสริมสุขภาพผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังตามหลักเภสัชศาสตร์เชิงพุทธบูรณาการ การดำเนินการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยศึกษาเอกสารและการสัมภาษณ์เชิงคุณภาพกับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญในพระพุธศาสนา ในวิชาชีพเวชกรรม วิชาชีพเภสัชกรรม และวิชาชีพการสาธารณสุข
ผลการวิจัยพบว่า สุขภาพ คือ ภาวะแห่งความสมบูรณ์ ๔ มิติ คือ ทางด้านร่างกาย ทางด้านจิตใจ การดำรงชีวิตอยู่ในสังคมตลอดรวมถึงสิ่งแวดล้อมด้วยดี และทางปัญญา เป็นสุขภาพที่มีมุมมองที่กว้าง ที่มีลักษณะเป็นองค์รวม ที่แต่ละมิติมีความสอดรับ มีความสมดุล มีความเกื้อหนุนส่งเสริมซึ่งกันและกัน สำหรับกระบวนการส่งเสริมสุขภาพผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังตามหลักเภสัชศาตร์เชิงพุทธบูรณาการที่นำเสนอในวิจัยนี้ คือ “SCHEME” Model ซึ่งแปลว่า โครงการ แบบแผน กลวิธี ซึ่งผู้วิจัยให้ความหมายว่า คือ กลวิธีสำหรับการส่งเสริมสุขภาพผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังผ่านกระบวนการดังนี้
S (Sanitation) การสร้างอนามัย คือ การอยู่อาศัยในสิ่งแวดล้อมที่ดี มีพฤติกรรมสุขภาพที่ดี เช่น การตรวจสุขภาพตลอดรวมถึงการรักษาสุขภาพสม่ำเสมอ การดำเนินชีวิตด้วยไม่ประมาท การลด ละเลิกอบายมุข บุหรี่ สุรา และสารเสพติด เป็นต้น
C (Chanting) การสวดมนต์ การสวดมนต์บูรณาการกับการดูแลรักษาในทางการแพทย์ เช่น บทสวดมนต์เช้า-เย็น บทสวดโพชฌังคปริตร เป็นต้น การสวดมนต์สามารถทำให้จิตใจจะสงบพัฒนาให้เกิดสมาธิ ลดความเครียด และดำเนินชีวิตอย่างปกติสุข
H (Harmony) การสอดประสานกันระหว่างองค์ประกอบในการส่งเสริมสุขภาพต่างๆ สุขภาพจะดีได้ไม่สามารถกระทำวิธีการสร้างเสริมสุขภาพเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียวได้ ต้องกระทำอย่างเป็นองค์รวมในหลายๆ ด้าน
E (Eating) การรับประทานอาหารบูรณาการกับการดูแลรักษาในทางการแพทย์ อาทิ การใช้ยาในการรักษา การรับประทานอาหารให้ครบ ๕ หมู่ ตามหลักโภชนาการในปริมาณพอประมาณ คือ โภชเนมัตตัญญุตา การรู้จักประมาณในการบริโภคเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงพอดำรงชีวิตอยู่
M (Meditation) การภาวนาทั้งสมถะและวิปัสสนาบูรณาการกับการดูแลรักษาในทางการแพทย์ การเจริญภาวนาส่งผลให้จิตใจสงบ ผ่อนคลาย โดยการปฏิบัติเจริญสติในรูปแบบ สติปัฏฐาน ๔ ที่กำหนดรู้อารมณ์ปัจจุบัน ที่เมื่อเกิดความเจ็บปวด ความทุกข์ ผู้ปฏิบัติที่เชี่ยวชาญย่อมสามารถกำหนดรู้ ไม่เกิดทุกข์ซ้อนทุกข์ สามารถเกิดสภาวะที่ว่าป่วยกายแต่ไม่ป่วยใจได้ อีกทั้งการปฏิบัติภาวนาสามารถช่วยให้ปรับสมดุลของร่างกาย
E (Exercise) การออกกำลังกาย บูรณาการกับการดูแลรักษาในทางการแพทย์การออกกำลังกายรูปแบบต่างๆ เช่น การเดิน การวิ่ง ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ เดินจงกรม เป็นต้น โดยปรับให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของผู้ป่วยแต่ละคน
Download |