วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ ๓ ประการ คือ ๑) เพื่อศึกษาการพัฒนาของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๒) เพื่อศึกษาแนวทางการมีส่วนร่วมของสตรีต่อการพัฒนาพระพุทธศาสนาในสมัยพุทธกาล ๓) เพื่อวิเคราะห์แนวทางการมีส่วนร่วมของสตรีต่อการพัฒนามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยานิพนธ์นี้ เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) แบบภาคสนามโดยการศึกษาเอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) จากกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key informants) แบ่งเป็น ๔ กลุ่ม จำนวน ๒๑ รูป/ท่าน
ผลการวิจัยพบว่า
๑) สตรีมีบทบาทสำคัญต่อการส่งเสริมทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาไม่ว่าจะเป็นร่วมสละทรัพยากรส่วนตน หรือสละแรงกาย แรงใจ สตรีในฐานะอุบาสิกาต้องเป็นผู้มีศรัทธา มีศีล ๕ สตรีในพระพุทธศาสนานั้นมีหลายท่านที่โดดเด่นที่สตรีชาวพุทธในปัจจุบันควรถือเป็นแบบอย่าง ไม่ว่าจะเป็น พระนางมหาปชาบดีโคตมี นางวิสาขามหาอุบาสิกา พระปฏาจาราเถรี นางสุปปวาสา และพระนางสามาวดี ซึ่งทั้งหมดนี้มีบทบาทการมีส่วนร่วม การส่งเสริม พัฒนาพระพุทธศาสนา กล่าวโดยรวมคือเป็นต้นแบบที่เกิดจากรูปแบบแนวทาง ๔ ลักษณะ คือ บทบาทการให้ บทบาทการพูดเจรจา บทบาทการเสียสละ และบทบาทการปฏิบัติตนที่เหมาะสม
๒) การพัฒนาคือการดึงการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ทั้งบรรพชิต คฤหัสถ์บุรุษ และสตรี โดยให้สิทธิเท่าเทียมกัน มาร่วมกันในการวางแผนพัฒนา กำหนดนโยบาย ตัดสินใจ และร่วมรับผิดชอบดำเนินกิจกรรม ด้านการบริหารงานทั่วไป มหาวิทยาลัยมีโครงสร้างการบริหารงานของส่วนกลางและวิทยาเขต อำนาจหน้าที่เป็นไปตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๒๕๔๐ มีการแบ่งส่วนงานมุ่งพัฒนาตามพันธกิจ ๕ ด้าน คือด้านการผลิตบัณฑิตให้มีคุณภาพ ด้านการวิจัยและพัฒนา ด้านงานบริการวิชาการแก่สังคม ด้านทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม และด้านการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาล
๓) จากการวิเคราะห์แนวทางการมีส่วนร่วมของสตรีต่อการพัฒนามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พบว่าสตรีเข้ามามีส่วนร่วมที่แตกต่างกันเป็นไปตามพันธกิจของมหาวิทยาลัย ๕ ด้าน คือ ๑. การผลิตบัณฑิต ๒. วิจัยและพัฒนา ๓. ส่งเสริมพระพุทธศาสนาและบริการวิชาการแก่สังคม และ ๔. ทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ๕. ด้านการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาล และด้วยศักยภาพของสตรีเกิดการร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมตัดสินใจ จุดแข็งของสตรีคือเรื่องการสื่อสาร ความละเอียดรอบคอบ โอกาสที่ดีของการมีส่วนร่วมของสตรีคือรูปแบบการสอน การสร้างวัฒนธรรม การวางตัวเหมาะสม ความสะดวกคล่องตัวในการหาทุนจากภายนอก จุดอ่อนคือเรื่องภาพลักษณ์การมองของสังคม กาลเทศะ การรักษาระยะห่างที่เกิดจากความคุ้นเคย ส่วนอุปสรรคของของสตรีคือข้อจำกัดของพระธรรมวินัย โอกาสในเรื่องของตำแหน่งหน้าที่ และลักษณะทางกายภาพเป็นจุดเสี่ยงต่อภาพลักษณ์ สตรีควรได้รับการส่งเสริมทางด้านฐานความรู้เชิงวิชาการ โอกาสในการออกไปทำกิจกรรมในสังคม สวัสดิการด้านต่าง ๆ และความชัดเจนในสถานะ สตรีที่ทำงานในมหาวิทยาลัยสงฆ์ควรยึดหลักคารวตา สังคหวัตถุ ๔ พรหมวิหาร ๔ โยนิโสมนสิการ อิทธิบาท ๔ หลักความเป็นกัลยาณมิตร และศีล ๕
Download |