ดุษฎีนิพนธ์เรื่อง “แนวทางการประยุกต์หลักพุทธธรรมสำหรับส่งเสริมการทำงานของนักการตลาดไทยเชิงพุทธบูรณาการ” มีวัตถุประสงค์ ๓ ประการ ได้แก่ (๑) เพื่อศึกษาแนวคิดทฤษฎีและหลักการทำงานของนักการตลาดไทย (๒) เพื่อศึกษาหลักธรรมที่ใช้การส่งเสริมการทำงานของนักการตลาดไทย (๓) เพื่อเสนอแนวทางการนำหลักพุทธธรรมมาประยุกต์กับการทำงานของนักการตลาดไทยเชิงพุทธบูรณาการงานวิจัยเรื่องนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ(Quantitative Research) โดยศึกษาเอกสาร (Documentary Research) และการสัมภาษณ์เชิงลึกในการกำหนดกรอบการวิจัยตามวัตถุประสงค์ รวบรวมข้อมูลด้านเอกสารอื่นๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับการตลาดไทยเชิงพุทธบูรณาการและการสัมภาษณ์บุคคลผู้ให้ข้อมูลสำคัญที่มีความเชี่ยวชาญด้านพระพุทธศาสนาและนักวิชาการด้านการตลาดโดยวิธีเชิงพรรณนาผลการวิจัยพบว่า
นักการตลาดเป็นอาชีพที่สำคัญมากในระบบทุนนิยมแบบตลาดเสรีเป็นอาชีพที่เชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภคเพื่อให้ธุรกิจประสบความสำเร็จในการให้บริการลูกค้าที่มาใช้บริการต้องได้รับความเชื่อถือและความเชื่อมั่นซึ่งมีส่วนสำคัญในการทำงานของนักการตลาดเป็นอย่างมาก นักการตลาดจะต้องพัฒนาเรียนรู้ให้ทันสมัยอยู่เสมอ สร้างความเชื่อถือความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าตอบสนองความต้องการและสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้มากที่สุด รู้จักการวิเคราะห์ข้อมูลการตลาดให้ชัดเจนมีความเป็นมืออาชีพ มีความรอบรู้ มีความรับผิดชอบในงานและสื่อสารกับคนอื่นได้อย่างเข้าใจและนักการตลาดต้องมีทั้งศาสตร์และศิลป์ในการสร้างความแตกต่างและความโดดเด่นเกี่ยวกับการตลาด
การนำหลักธรรมมาใช้ในการส่งเสริมการทำงานของนักการตลาดให้มีคุณภาพและมีคุณธรรมนั้นต้องอาศัยหลักทฤษฎีและหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเข้ามาประยุกต์หรือสนับสนุนการบริหารงานของนักการตลาดทั้งการวางแผน ระบบ และกลยุทธ์ในด้านต่าง ๆ เพื่อให้นักการตลาดได้มีความน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับในสังคมดังนั้นการนำหลักอิทธิบาท ๔ และหลักพรหมวิหาร ๔ สามารถนำมาส่งเสริมการทำงานให้ประสบความสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยนำหลักอิทธิบาท ๔ คือ ฉันทะความรักงานพอใจกับงานที่ทำอยู่สร้างแรงจูงใจรักในงานที่ทำนำวิริยะความขยันหมั่นเพียรกับงานทุกอย่างจะสำเร็จได้ต้องอาศัยความขยันหมั่นเพียรเครื่องมือที่จะนำนักการตลาดไปสู่ความสำเร็จได้ นำจิตตะความเอาใจใส่รับผิดชอบงานที่ทำจิตใจที่จดจ่อกับงานล้วนเกิดผลดีต่องานที่ทำด้วยความตั้งใจที่จะให้งานนั้นบรรลุเป้าหมายนำวิมังสามาใช้ในการพินิจพิเคราะห์ความเข้าใจทำวิธีทำงานให้สำเร็จทำงานด้วยการเอาใจจดจ่ออยู่ตลอดเวลาคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุและผล ย่อมทำให้เข้าใจต่อกระบวนการ วิธีการและแนวทางในการดำเนินงานที่ถูกต้อง เหมาะสมวิมังสาถือได้ว่าเป็นหลักปฏิบัติที่ช่วยในการเอาชนะปัญหาและอุปสรรคในการทำงานของนักการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นส่วนหลักพรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตาและอุเบกขา เป็นตัวกำกับทางจิตใจของพนักงานให้อยู่กับเพื่อนร่วมงานได้อย่างมีความสุขโดยการแสดงออกในด้านความรักความปรารถนาให้ทุกคนและให้มีจิตใจสงสารเอื้ออาทรต่อกันและกันรวมถึงด้านจิตใจต้องมีความเมตตาพลอยยินดีกับคนที่เขาได้ดีมีสุขส่วนการส่งเสริมนักการตลาดในพระพุทธศาสนามีอยู่ ๔ อย่างคือ (๑) หลักความถูกต้อง (๒) หลักความเหมาะสม (๓) หลักความโปร่งใสและ (๔) หลักความยุติธรรมซึ่งจะช่วยให้นักการตลาดนึกถึงคุณธรรมของการเป็นนักการตลาดที่มีดีต่อไป
แนวทางการประยุกต์หลักพุทธธรรมสำหรับการส่งเสริมการทำงานของนักการตลาดไทยเชิงพุทธบูรณาการที่สามารถนำมาประยุกต์ในการทำงานของนักการตลาดให้ประสบความสำเร็จ สรุปได้ ๖ รูปแบบ ดังนี้ (๑) พัฒนางานด้วยฉันทะการพัฒนาด้วยฉันทะนั้นจะทำให้ความพอใจหรือความสนใจเป็นหลักการเบื้องต้นที่จะนำนักการตลาดไปสู่ความสำเร็จและปลูกฝังความพอใจในทำงานทำหน้าที่การงานและอาชีพ(๒) ปลูกฝังจิตมุ่งมั่นด้วยวิริยะความตั้งใจเพียรพยายามในการทำงานของนักการตลาดด้วยการแสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ทั้งภายในและภายนอกปลูกฝังความเพียรพยายามในการทำธุรกิจ(๓) ขนาบงานด้วยจิตตะเอาจิตฝักใฝ่ตั้งจิตจดจ่อในสิ่งที่ทำและทำสิ่งนั้นด้วยความคิดไม่ปล่อยจิตใจให้ฟุ้งซ่านเลื่อนลอย (๔) พิชิตสิ่งร้ายด้วยวิมังสาใช้ปัญญาสอบสวนหมั่นใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญตรวจตราหาเหตุผล (๕) สร้างสานสัมพันธ์โยงใยรักด้วยพรหมวิหาร ๔คือสานสัมพันธ์นักการตลาดด้วยกันเพื่อกำกับจิตใจของนักการตลาดให้แสดงออกในด้านความรักความปรารถนาให้ทุกคนมีความสุขและให้มีจิตใจสงสารและพลอยยินดีกับเพื่อนร่วมงานที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน(๖) สร้างคุณธรรมในการทำงานด้วยความสุจริตคือการทำงานของนักการตลาดที่ดีจะต้องมีความสุจริตทั้งทางกาย วาจา ใจ ทำให้มีความเชื่อถือเป็นที่ยอมรับและเป็นประโยชน์ต่อบริษัท
Download |