การศึกษาวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ ๓ ข้อ ดังนี้ ๑) เพื่อศึกษาสภาพการจัดการความรู้สำหรับโรงสีข้าวชุมชนในจังหวัดนครสวรรค์๒) เพื่อสร้างรูปแบบการจัดการความรู้ตามหลักทุติยปาปณิกสูตร สำหรับโรงสีข้าวชุมชนในจังหวัดนครสวรรค์๓) เพื่อประเมินรูปแบบการจัดการความรู้ตามหลักทุติยปาปณิกสูตร สำหรับโรงสีข้าวชุมชนในจังหวัดนครสวรรค์
การวิจัยนี้แบ่งออกเป็น ๓ ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ ๑การศึกษาศึกษาสภาพการจัดการความรู้สำหรับโรงสีข้าวชุมชนในจังหวัดนครสวรรค์ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน ๑๙ คน ใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง และใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ขั้นตอนที่ ๒การสร้างรูปแบบการจัดการความรู้ตามหลักทุติยปาปณิกสูตร สำหรับโรงสีข้าวชุมชนในจังหวัดนครสวรรค์ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน ๑๐ รูป/คน โดยการจัดสนทนากลุ่ม เครื่องมือที่ใช้คือ แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม และใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ขั้นตอนที่ ๓การประเมินรูปแบบการจัดการความรู้ตามหลักทุติยปาปณิกสูตร สำหรับโรงสีข้าวชุมชนในจังหวัดนครสวรรค์ผู้ให้ข้อมูลคือ ผู้จัดการโรงสีข้าวชุมชนและคณะบริหารโรงสีข้าวชุมชน
จำนวน ๓๐ คนเครื่องมือที่ใช้คือ แบบประเมินรูปแบบที่ถามความเหมาะสมใน ๔ ด้าน คือ โดยประเมินความถูกต้อง ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ในการปฏิบัติและความเป็นประโยชน์ สถิติที่ใช้ได้แก่ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า
๑. ผลการศึกษาสภาพการจัดการความรู้สำหรับโรงสีข้าวชุมชนในจังหวัดนครสวรรค์พบว่าโรงสีข้าวชุมชนที่ไม่สามารถบริการสีข้าวให้แก่ชุมชนได้นั้น ส่วนใหญ่เป็นเพราะขาดความรู้ด้านการจัดการโรงสีข้าว ไม่มีความรู้ด้านการตรวจสอบสายพันธุ์ข้าวเปลือก ไม่มีความรู้ด้านการจัดการกระบวนการสีข้าวให้มีประสิทธิภาพดี ไม่มีความรู้เรื่องต้นทุนการผลิตความรู้เรื่องการตลาดความรู้ด้านการให้บริการและยังขาดเครื่องมือที่สำคัญในการสีข้าวเช่นเครื่องคัดแยกกรวดออกจากข้าวสารและแม่เหล็กถาวรสำหรับเก็บเศษเหล็กและผงเหล็กออกจากข้าวสารเป็นต้น
๒. การสร้างรูปแบบการจัดการความรู้ตามหลักทุติยปาปณิกสูตร สำหรับโรงสีข้าวชุมชนในจังหวัดนครสวรรค์ผู้วิจัยได้นำหลักทุติยปาปณิกสูตร ได้แก่ ๑.จักขุมา (Conceptual Skill)
๒.วิธูโร(Technical Skill) ๓.นิสสยสัมปันโน(Human Relation Skill)มาบูรณาการเข้ากับกระบวนการจัดการความรู้(KM Process) มี ๗ ขั้นตอน คือ ๑.การระบุความรู้ (Knowledge Identification)๒. การสร้างและแสวงหาความรู้(Creation and Acquisition)๓.การจัดการความรู้ให้เป็นระบบ(Knowledge Organization) ๔.การประมวลความรู้และกลั่นกรองความรู้(Knowledge Codification and Refinement) ๕.การเข้าถึงความรู้ (Knowledge Access) ๖. การแบ่งปัน แลกเปลี่ยนความรู้(Knowledge Sharing ) และ ๗. การเรียนรู้(Learning)เพื่อสร้างเป็นรูปแบบการจัดการความรู้ตามหลักทุติยปาปณิสูตร สำหรับโรงสีข้าวชุมชนได้นำไปใช้ในการจัดการโรงสีข้าวชุมชนในจังหวัดนครสวรรค์ให้ประสบความสำเร็จ
๓. ผลการประเมินรูปแบบการจัดการความรู้ตามหลักทุติยปาปณิกสูตร สำหรับการบริหารโรงสีข้าวชุมชนในจังหวัดนครสวรรค์ทั้ง ๔ ด้าน ทั้ง ๗ รูปแบบ ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
Download
|