การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ ๓ ประการคือ ๑) เพื่อศึกษาพัฒนาการพระปริยัติธรรมแผนกบาลีของคณะสงฆ์ไทย ๒) เพื่อศึกษาบทบาทของผู้สำเร็จการศึกษาเปรียญธรรม ๙ ประโยคที่พึงประสงค์ ๓) เพื่อศึกษาทิศทางการพัฒนาผู้สำเร็จการศึกษาเปรียญธรรม ๙ ประโยคในทศวรรษหน้า โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เป็นการศึกษาวิจัยเอกสาร (Documentary Research) เก็บข้อมูลการสัมภาษณ์ (Interview) ผู้ให้ข้อมูล ๑๒ รูป/คน
ผลการศึกษาวิจัยพบว่า :
การศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลีของคณะสงฆ์ไทยได้รับต้นกำเนิดมาจากศรีลังกาในสมัยพระเจ้าปรักกมพาหุ เข้าสู่ประเทศไทยในสมัยสุโขทัยในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง จากนั้นจึงเริ่มจัดให้มีการเรียนการสอนพระปริยัติธรรมขึ้น แต่ขาดช่วงไปในสมัยอยุธยาตอนต้นเนื่องจากพระมหากษัตริย์ไม่ให้ความสนใจและสนับสนุนเท่าที่ควร จากนั้นจึงเริ่มมีการพัฒนาอีกครั้งในสมัยพระนารายณ์มหาราช และได้รับการพัฒนาเรื่อยมาจนมาถึงสมัยธนบุรีและสมัยรัตนโกสินทร์ ซึ่งการแยกปีการศึกษาออกเป็น ๙ ชั้นเริ่มมีตั้งแต่รัชกาลที่ ๒ ในสมัยรัตนโกสินทร์ และพัฒนาในหลาย ๆ ด้านจนกลายเป็นหลักสูตรที่ใช้ในปัจจุบันนี้
บทบาทที่พึงประสงค์หรือบทบาทที่ผู้สำเร็จการศึกษาควรดำเนินการนั้นมี ๒ ส่วน ส่วนที่ ๑ คือบทบาทของคณะสงฆ์ มี ๖ ด้าน บางบทบาทเช่น บทบาทด้านศาสนศึกษา มีจำนวนผู้สำเร็จการศึกษาทำงานอยู่มาก ในขณะที่บางบทบาทมีน้อย แต่ไม่ว่าจะน้อยหรือมาก บทบาททั้ง ๖ ด้านก็ยังคงต้องการผู้สำเร็จการศึกษาเปรียญธรรม ๙ ประโยคเพิ่มขึ้นอยู่ดี ส่วนที่ ๒ คือบทบาทในสังคมภายนอกที่ต้องการวิชาความรู้ทางพระพุทธศาสนาจากผู้สำเร็จการศึกษาเปรียญธรรม ๙ ประโยคเข้าช่วยเหลือและสนับสนุน ที่เด่นชัดมากที่สุด ๓ ด้าน ได้แก่ ด้านการศึกษา ด้านการปกครอง และด้านวัฒนธรรมและประเพณี
ในอีก ๑๐ ปีข้างหน้านั้นสังคมจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางต่าง ๆ ดังนั้นคุณวุฒิเปรียญธรรม ๙ ประโยคยังไม่เพียงพอสำหรับการเปลี่ยนแปลง จะต้องพัฒนาใน ๔ ส่วนหลัก ๆ ได้แก่ ๑) เสริมความรู้เก่าในทางพระพุทธศาสนาให้มีความเข้าใจเชิงลึกมากยิ่งขึ้น ๒) เสริมความรู้ใหม่ให้เท่าทันกับสังคม ๓) บูรณาการเสริมสร้างความรู้เชิงปฏิสัมพันธ์ระหว่างความรู้เก่าและความรู้ใหม่ ๔) ประยุกต์ใช้และสร้างทักษะการใช้เทคโนโลยีให้มีประสิทธิภาพ.
Download
|