บทคัดย่อ
การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ ๑) ศึกษาระดับการใช้หลักอิทธิบาท ๔ กับจิตบริการของพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๗ จังหวัดสุพรรณบุรี ๒) เปรียบเทียบระดับการใช้หลักอิทธิบาท ๔ กับจิตบริการของพยาบาลวิชาชีพโรงพยาบาล สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๗ จังหวัดสุพรรณบุรี ๓) ศึกษาปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะ ต่อการใช้หลักอิทธิบาท ๔ กับจิตบริการของพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๗ จังหวัดสุพรรณบุรี การศึกษาวิจัยครั้งนี้ดำเนินการตามระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) โดยประชากรที่ใช้ในการวิจัยคือพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๗ จังหวัดสุพรรณบุรี จำนวน ๒๔๓ คน ซึ่งใช้วิธีการสุ่มตัวอย่าง โดยการการใช้สูตรของทาโร่ ยามาเน่ (Taro Yamane) ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน ๑๕๒ คน เครื่องมือสำหรับเก็บข้อมูลคือแบบสอบถาม (Questionnaire) สถิติที่ใช้ประกอบด้วยค่าร้อยละ (Percentage) หาค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) เปรียบเทียบโดยการทดสอบสมมติฐานโดยการทดสอบค่าที (t-test) การทดสอบค่าเอฟ (F-test) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One way ANOVA ) เมื่อพบว่ามีความแตกต่างกันจึงทำการเปรียบเทียบรายคู่ โดยวิธีผลต่างนัยสำคัญน้อยที่สุด (Least Significant Difference : LSD)
ผลการศึกษาวิจัยพบว่า
๑) ระดับการใช้หลักอิทธิบาท ๔ กับจิตบริการกับจิตบริการของพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๗ จังหวัดสุพรรณบุรี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( =๓.๘๗, S.D.= ๐.๕๔) เมื่อจำแนกเป็นรายด้านพบว่า ระดับความคิดเห็นของของพยาบาลวิชาชีพโรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๗ จังหวัดสุพรรณบุรี ด้านจิตตะมีระดับสูงสุด ( =๓.๙๔, S.D.= ๐.๕๒)รองลงมาคือ ด้านวิริยะ ( =๓.๙๐, S.D.= ๐.๕๖) และที่อยู่ในอันดับสุดท้ายคือ ด้านวิมังสา( =๓.๘๐, S.D.= ๐.๕๖)
๒) ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบระดับการใช้หลักอิทธิบาท ๔ กับจิตบริการของพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาล สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๗ จังหวัดสุพรรณบุรี จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า
๒.๑ พยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๗ จังหวัดสุพรรณบุรีที่มีเพศแตกต่างกัน มีการใช้หลักอิทธิบาท ๔ กับจิตบริการ ไม่แตกต่างกัน
๒.๒ พยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๗ จังหวัดสุพรรณบุรีที่มีอายุแตกต่างกัน มีการใช้หลักอิทธิบาท ๔ กับจิตบริการ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ ๐.๐๕
๒.๓ พยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๗ จังหวัดสุพรรณบุรีที่มีสถานภาพสมรสแตกต่างกัน มีการใช้หลักอิทธิบาท ๔ กับจิตบริการ แตกต่างกัน
๒.๔ พยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๗ จังหวัดสุพรรณบุรีที่มีระดับการศึกษาแตกต่างกัน มีการใช้หลักอิทธิบาท ๔ กับจิตบริการแตกต่างกัน โดยการศึกษาระดับปริญญาโทมีการใช้หลักอิทธิบาท ๔ กับจิตบริการสูงกว่าปริญญาตรีในทุกด้าน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ ๐.๐๑
๒.๕ พยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๗ จังหวัดสุพรรณบุรี ที่มีรายได้ต่อเดือนแตกต่างกัน มีการใช้หลักอิทธิบาท ๔ กับจิตบริการแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญในสถิติที่ระดับ ๐.๐๕ และระดับ ๐.๐๑
๒.๖ พยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๗ จังหวัดสุพรรณบุรี ที่มีประสบการณ์การทำงานแตกต่างกัน มีการใช้หลักอิทธิบาท ๔ กับจิตบริการแตกต่างกัน
๒.๗ พยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๗ จังหวัดสุพรรณบุรี ที่มีหน่วยงานพยาบาลที่สังกัดแตกต่างกัน มีการใช้การใช้หลักอิทธิบาท ๔ กับจิตบริการไม่แตกต่างกัน
๓) ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะ
ปัญหา อุปสรรค ที่มีความสำคัญเป็นลำดับแรกของการใช้หลักอิทธิบาท ๔ กับจิตบริการของพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๗ จังหวัดสุพรรณบุรี ทั้งด้านฉันทะ ด้านวิริยะ ด้านจิตตะ และด้านวิมังสา เป็นเรื่องของภาระงานมาก เกินกว่าอัตรากำลังในการทำงานแต่ละวัน และค่าตอบแทนไม่สมดุล มองว่าวิชาชีพพยาบาล เป็นวิชาชีพที่ถูกมองข้ามความสำคัญ เมื่อปัญหาอุปสรรคต่างๆไม่ได้รับการแก้ไข ทำให้กลุ่มตัวอย่าง ขาดขวัญกำลังใจในการทำงาน ท้อแท้ เบื่อหน่าย ขาดความรัก ความเอาใจใส่ ความกระตือรือร้น และ ความใคร่ครวญไตร่ตรองในงานที่ทำ ซึ่งส่งผลให้เกิดปัญหา อุปสรรค ต่อการใช้หลักอิทธิบาท ๔ กับจิตบริการของพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๗ จังหวัดสุพรรณบุรี ในทุกด้าน
จากปัญหา อุปสรรคดังกล่าว กลุ่มตัวอย่างมีข้อเสนอแนะในภาพรวม ต้องการให้ผู้บริหารตั้งแต่ระดับประเทศลงมา ตระหนัก และให้ความสำคัญกับพยาบาลวิชาชีพ ที่ทำงานอยู่กับชีวิตมนุษย์ มีความกดดัน ความเครียดสะสม ส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวมในระยะยาว โดยต้องการให้จัดสรรอัตรากำลังในการทำงาน และค่าตอบแทนที่เหมาะสม เพื่อเสริมสร้างขวัญกำลังใจ
ดาวน์โหลด
|