บทคัดย่อ
ดุษฎีนิพนธ์เรื่อง “พัฒนาการความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างรัฐกับคณะสงฆ์ไทย” ประกอบด้วยวัตถุประสงค์ ๑) ศึกษาแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ๒) ศึกษาพัฒนาการความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างรัฐกับคณะสงฆ์ไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ ๓) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างรัฐกับคณะสงฆ์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพที่ประกอบด้วยการศึกษาค้นคว้าเอกสาร สัมภาษณ์ ประชาพิจารณ์จากผู้ทรงคุณวุฒิ และวิเคราะห์เชิงเนื้อหา
จากการวิจัยพบว่า ความสัมพันธ์เชิงอำนาจหมายถึงความสัมพันธ์ในทางกฎหมายที่ใช้อำนาจทางการปกครอง รวมทั้งความสัมพันธ์ที่มีต่อบุคคลในเชิงจารีตประเพณีที่เคยมีมา ความสัมพันธ์ลักษณะดังกล่าวนั้นหมายถึง ความสัมพันธ์ในด้านปฏิบัติการและการบริหารราชการในทุกระดับตั้งแต่ระดับบุคคล ระดับกลุ่มคน และระดับสังคม เมื่อรัฐใช้อำนาจในการปกครองบ้านเมืองผ่านทางกฎหมาย ในขณะเดียวกันพระพุทธศาสนามีอิทธิพลต่อรัฐทั้งในระดับสถาบันและบุคคล ดังนั้นหลักธรรมที่รัฐควรนำมาปฏิบัติ คือ หลักธรรมาธิปไตยซึ่งเป็นหลักการสำคัญแนวพุทธ ที่ไม่ใช่รูปแบบการปกครองแต่เป็นหลักการที่เคารพยึดถือหลักธรรมเป็นใหญ่ โดยหลักธรรมสำคัญได้แก่หลักธรรมราชาซึ่งเป็นหลักธรรมของผู้ปกครองที่ดีมีสัมมาทิฐิ คือผู้ที่มีศีลเป็นข้อประพฤติพื้นฐานนั่นเอง
พัฒนาการความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างรัฐกับคณะสงฆ์ไทย สมัยรัตนโกสินทร์ ปรากฎให้เห็น ๓ ด้านคือ ในด้านกฎหมาย ด้านการเมืองการปกครอง และด้านเผยแผ่พระพุทธศาสนา กล่าวคือ สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นพระพุทธรูปเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันเกิดจากบุญบารมี ของพระมหากษัตริย์ แต่ช่วงปลายสมัยต้นมิติรูปแบบการปกครอง แนวคิดใหม่ให้เป็นการสำนึกทางประวัติศาสตร์ของรัฐ ต่อมาสมัยรัตนโกสินทร์ยุคกลางเปลี่ยนแนวคิดจากจักรวาลวิทยามาสู่ แนวคิดภายใต้อำนาจรัฐที่มั่นคงเป็นปึกแผ่น กับจิตสำนึกร่วมทางประวัติศาสตร์ภายใต้อุดมคติทางการเมืองสมัยใหม่ของสยามประเทศ สมัยปัจจุบันเป็นช่วงสลับสับเปลี่ยนระหว่างรัฐบาลเผด็จการกับรัฐบาลประชาธิปไตย ซึ่งทำให้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์หลายครั้ง จนถึงในรัชกาลปัจจุบันมีการแก้ไขพระราชบัญญัติคระสงฆ์ ปี พ.ศ.๒๕๖๐
ความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างรัฐกับคณะสงฆ์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ ปรากฏชัดทางด้านกฎหมายดังนี้ รัชกาลที่ ๑ มีการตรากฎหมายพระสงฆ์ พ.ศ.๒๓๒๕-๒๓๔๔ เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรเป็นครั้งแรก รัชกาลที่ ๔ มีการตรากฎหมายเรียกว่าประชุมประกาศ รัชกาลที่ ๔ ขึ้น สมัยรัชกาลที่ ๕ มีการตรากฎหมายลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ ปรับโครงสร้างคณะสงฆ์เป็น ๒ นิกาย คือ (๑)ธรรมยุติกนิกาย (๒) มหานิกาย โดยให้มหาเถรสมาคมเป็นที่ปรึกษา ต่อมารัชกาลที่ ๘ มีการตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์พ.ศ. ๒๔๘๔ ซึ่งเปลี่ยนระบบการปกครองจากสมบูรณาญา- สิทธิราชย์พระมหากษัตริย์มีอำนาจสูงสุด มาสู่ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่อำนาจสูงสุดอยู่ที่รัฐธรรมนูญ โดยพระมหากษัตริย์ใช้อำนาจผ่านอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหารและอำนาจตุลาการ สมัยรัชกาลที่ ๙ มีการตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ โดยในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ มีการแก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ครั้งที่ ๑ และในรัชกาลปัจจุบันได้ทำการแก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ครั้งที่ ๒ ปี พ.ศ.๒๕๖๐ ซึ่งบัญญัติให้พระมหากษัตริย์เป็นผู้แต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ดังโบราณราชประเพณีในอดีต
ดาวน์โหลด
|