บทคัดย่อ
การศึกษาวิจัยเรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์ ๓ ประการ คือ (๑) เพื่อศึกษาการคบมิตรตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาเถรวาท (๒) เพื่อศึกษาการคบมิตรตามหลักคำสอนของศาสนาขงจื้อ และ(๓) เพื่อเปรียบเทียบการคบมิตรตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาเถรวาทกับศาสนาขงจื้อ การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงเอกสาร ผลการวิจัยพบว่า
การคบมิตรตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาเถรวาท คือ การคบคนที่มีเมตตาต่อกัน คุ้นเคย รักใคร่สนิทสนม มีความจริงใจ เอื้อเฟื้อประโยชน์ต่อกัน ระหว่างบุคคลที่เข้าไปเกี่ยวข้องสัมพันธ์ ต้องอ่าน ต้องดู เพื่อใช้ในการอุปโภคประจำวัน หรือหมายถึงสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ จึงถือว่าเป็นมิตรที่มีส่วนสำคัญเช่นเดียวกัน ถ้าได้ทั้งบุคคลเป็นมิตรที่ดีงามและได้สื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ดีก็ชื่อว่าเป็นคนที่คบมิตรที่ดี เรียกว่าผู้มี “กัลยาณมิตร”
การคบมิตรตามหลักคำสอนของศาสนาขงจื้อ คือ การมีเมตตาระหว่างคนกับคน เช่น เมตตากับพ่อแม่เป็นความกตัญญู เมตตากับพี่น้องเป็นความผูกพัน เมตตากับสามีภรรยาเป็นความรัก เมตตากับลูกเป็นความหวังดี เมตตากับราชาคือความภักดี เมตตากับสหายคือความเชื่อใจ และเมตตากับคนอื่นคือความจริงใจ
เปรียบเทียบการคบมิตรตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาเถรวาทกับศาสนาขงจื้อ พบว่า
๑) การคบมิตรในทัศนะของพระพุทธศาสนามุ่งการคบหาคนดี คนที่ฉลาดมีความรู้ และเป็นสัตบุรุษ คือ คนมีหลักธรรมของคนดีเป็นวัตรปฏิบัติ ส่วนในทัศนะของศาสนาขงจื้อ การคบมิตรคือการสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคคลกับบุคคลโดยอาศัยเมตตาธรรมเป็นเครื่องประสาน
๒) บริบทเรื่องการคบมิตร ทั้งสองศาสนามีทัศนะเรื่องการคบมิตรในบริบทเหมือนกัน คือ บริบททางการเมือง บริบททางสังคม และบริบททางเศรษฐกิจ
๓) มิตรในศาสนาทั้ง ๒ มีประเภทและลักษณะเหมือนกัน ได้แก่ มิตรที่ดี คือ มิตรที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ทั้งด้านกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม และมิตรชั่ว คือ คนที่คิดเอาแต่ประโยชน์ตน
๔) การคบมิตรตามหลักคำสอนในศาสนาทั้งสองนั้น อยู่ที่การสร้างสัมพันธภาพระหว่างมิตรด้วยการใช้ใจเป็นเครื่องประสาน คือ การมีความซื่อสัตย์ต่อกัน มีความจริงใจต่อกัน อันก่อให้เกิดความกลมเกลียวเป็นบ่อเกิดแห่งความสมานฉันท์ เมื่อทำได้ดังนี้ ย่อมก่อให้เกิดพลังมหาศาลที่สามารถบันดาลให้กิจการงานต่าง ๆ บรรลุได้ดังหวัง
ดาวน์โหลด
|