บทคัดย่อ
งานวิจัยวิทยานิพนธ์เล่มนี้ มีวัตถุประสงค์ ๓ ประการ คือ (๑) เพื่อศึกษาวิธีการใช้ยาสมุนไพรในคัมภีร์พระพุทธศาสนา (๒) เพื่อศึกษาวิธีการใช้ยาสมุนไพรตามการแพทย์แผนไทยในปัจจุบัน และ (๓) เพื่อบูรณาการวิธีการใช้ยาสมุนไพรตามการแพทย์แผนไทยปัจจุบันกับวิธีการใช้สมุนไพรในคัมภีร์พระพุทธศาสนา ทั้งนี้ เป็นการวิจัยเอกสารจากคัมภีร์พระพุทธศาสนาและเอกสารวิชาการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
ผลการวิจัยพบว่า :
สมุนไพรมีคุณประโยชน์และมีค่าอยู่ในตัว ไม่ว่าจะถูกนำมาใช้หรือถูกทอดทิ้งตามสภาพธรรมชาติ สมุนไพรยังเป็นของคู่โลกคู่มนุษย์มาแต่โบราณ ความจริงที่ว่ามนุษย์รู้จักนำสมุนไพรมาใช้ประโยชน์เป็นยา เพื่อบำบัดและรักษาโรค สมุนไพรได้มาจากธรรมชาติของต้นไม้ชนิดต่างๆ ยังคงปฏิบัติสืบต่อเนื่องมาแต่สมัยพุทธกาล ซึ่งมีพระพุทธบัญญัติและกล่าวถึงสมุนไพรในพระวินัยปิฎก โดยเฉพาะเภสัชชักขันธกะ เช่น ขมิ้น ขิง ดีปลี สมอ มะขามป้อม และมหาหิงคุ์ เป็นต้น ซึ่งในสมัยพุทธกาลนั้น ชีวกโกมารภัจ แพทย์ประจำราชสำนักและประจำพระพุทธองค์มีบทบาทสำคัญยิ่ง
ในวงการแพทย์แผนโบราณของไทยในปัจจุบันนี้ ยังคงปฏิบัติสืบต่อเนื่องมาแต่สมัยพุทธกาล อาจมีแตกต่างบ้างเรื่องวิธีการบำบัดรักษา ส่วนสมุนไพรและเครื่องประกอบไม่แตกต่างกันมากนัก สมุนไพรส่วนมากที่ใช้เป็นยายังคงเป็น รากไม้ ใบไม้ ผลไม้ ยางไม้ น้ำฝาด เกลือแร่ ธาตุต่างๆ น้ำมันเหลวที่ได้จากสัตว์ และเภสัชทั้ง ๕ ได้แก่ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง และน้ำอ้อย เป็นต้น สมุนไพรที่กล่าวถึงทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นยาแผนโบราณและยาแผนปัจจุบัน เพื่อใช้บำบัดและรักษาโรค วิธีการใช้สมุนไพรในการบำบัดรักษาโรค คือโดยการใช้รับประทาน ใช้ทา ใช้หยอด ใช้นัตถุ์ยาหรือการสูดดมควัน เป็นต้น ในที่นี้ได้แสดงตารางเปรียบเทียบให้เห็นสมุนไพรที่ใช้ในสมัยพุทธกาลกับที่ใช้ในแพทย์แผนไทยปัจจุบันไว้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ยังมีโรคที่เกิดทางใจ อันเกิดแต่รัก โลภ โกรธ หลง ทำให้จิตเศร้าหมอง ดังนั้น จำเป็นต้องใช้วิธีบำบัดรักษาด้วยธรรมโอสถ โดยการใช้สวดมนต์ภาวนา เช่น สังวัธยาย โพชฌงค์ ๗ พิจารณาสังขารให้เห็นสภาวธรรมแห่งความเป็นจริง เช่น เห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และอนัตตา นอกจากนี้มีการปฏิบัติสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน เพี่อคลายทุกข์ เมื่อจิตใจเป็นสุข ย่อมทำให้สุขภาพกายดีเป็นสุขตามไปด้วย โดยองค์รวมต้องมีการบูรณาการรักษาโรคทั้งกายและใจควบคู่กันไปตามแนวทางพระพุทธศาสนา
ดาวน์โหลด
|