บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ ๓ ประการ คือ (๑) เพื่อศึกษาความขัดแย้งเรื่องการบวชภิกษุณีในสังคมไทย (๒) เพื่อวิเคราะห์สาเหตุความขัดแย้งเรื่องการบวชภิกษุณีในสังคมไทย และ (๓) เพื่อเสนอการแก้ปัญหาความขัดแย้งเรื่องการบวชภิกษุณีในสังคมไทย ผลการวิจัยพบว่าความขัดแย้งเรื่องการบวชภิกษุณีในสังคมไทยเป็นผลมาจากทัศนะที่แตกต่างกันเกี่ยวกับภิกษุณีและการบวชภิกษุณีซึ่งก่อให้เกิดทั้งฝ่ายคัดค้านและฝ่ายสนับสนุนการบวชภิกษุณี ความขัดแย้งเกี่ยวกับภิกษุณีมี ๔ ประเด็นหลัก คือ (๑) พุทธประสงค์ในการประดิษฐานภิกษุณีสงฆ์ (๒) ภิกษุณีกับอันตรายต่อการประพฤติพรหมจรรย์ของภิกษุสงฆ์ (๓) ภิกษุณีกับปัญหาความสมดุลของโครงสร้างทางสังคม และ (๔) เจตนารมณ์การรื้อฟื้นภิกษุณี ความขัดแย้งเกี่ยวกับการบวชภิกษุณีมี ๓ ประเด็นหลัก คือ (๑) การบวชภิกษุณีตามพระวินัย (๒) การทดแทนการบวชภิกษุณีเถรวาทด้วยการบวชชี และ (๓) การบวชภิกษุณีกับความรับผิดชอบของคณะสงฆ์ไทย
ส่วนที่เกี่ยวกับภิกษุณี ฝ่ายคัดค้านการบวชภิกษุณีมีทัศนะว่าพระพุทธเจ้าไม่มีพระประสงค์ที่จะประดิษฐานภิกษุณีสงฆ์ขึ้นมาในพระพุทธศาสนา ภิกษุณีสงฆ์เกิดจากเหตุปัจจัยภายนอกบางอย่างที่ผลักดันให้ในที่สุดพระพุทธเจ้าจำต้องอนุญาตให้มีภิกษุณีสงฆ์ ภิกษุณีเป็นอันตรายต่อการประพฤติพรหมจรรย์ของภิกษุสงฆ์ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้นจึงไม่ควรมีภิกษุณีขึ้นมาในคณะสงฆ์ ปัญหาความสมดุลของโครงสร้างทางสังคมไม่เกี่ยวข้องกับการไม่มีภิกษุณีสงฆ์ และเจตนารมณ์ในการรื้อฟื้นภิกษุณีในสังคมไทยเป็นไปอย่างไม่บริสุทธิ์แต่เป็นเรื่องการยึดติดรูปแบบความเป็นนักบวชของสตรีบางกลุ่มและเป็นการเลียนแบบแนวคิดสิทธิสตรีของโลกตะวันตก ส่วนที่เกี่ยวกับการบวชภิกษุณี การบวชภิกษุณีไม่สามารถกระทำได้อย่างถูกต้องตามพระวินัย ไม่ว่าโดยการบวชจากสงฆ์ฝ่ายเดียวหรือสองฝ่าย การบวชจากสงฆ์ฝ่ายเดียวถือว่าได้ยกเลิกไปแล้ว ส่วนการบวชจากสงฆ์สองฝ่ายไม่สามารถกระทำได้เพราะภิกษุณีสงฆ์เถรวาทผู้ทำหน้าที่เป็นปวัตตินีซึ่งเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของการบวชได้สูญสิ้นไปแล้ว การทดแทนการบวชภิกษุณีเถรวาทด้วยการบวชชีถือเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับสตรีที่ประสงค์จะเป็นนักบวชในสังคมไทย และการแก้ปัญหาบวชภิกษุณีในสังคมไทยถือว่าอยู่พ้นอำนาจความรับผิดชอบของคณะสงฆ์ไทย
ฝ่ายสนับสนุนการบวชภิกษุณีมีทัศนะตรงกันข้ามกับฝ่ายคัดค้านการบวชภิกษุณีทุกประเด็น จากการศึกษาข้ออ้างของทั้งสองฝ่าย พบว่าข้ออ้างของฝ่ายคัดค้านการบวชภิกษุณีในสังคมไทยทั้งประเด็นที่เกี่ยวกับภิกษุณีและการบวชภิกษุณี ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและหลักการของพระพุทธศาสนา ส่วนที่เกี่ยวกับภิกษุณี เชื่อได้ว่าพระพุทธเจ้ามีพระประสงค์ที่จะประดิษฐานภิกษุณีสงฆ์ขึ้นมาอย่างแท้จริง ทั้งภิกษุและภิกษุณีต่างเป็นอันตรายต่อการประพฤติพรหมจรรย์ซึ่งกันและกัน การเรียกร้องต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถือว่าไม่เป็นธรรม การไม่มีภิกษุณีสงฆ์มีผลกระทบต่อโครงสร้างความสมดุลของสังคมตามหลักปฏิจจสมุปบาทและขัดต่อหลักพุทธบริษัท ๔ ซึ่งเป็นสังคมอุดมคติในพระพุทธศาสนา และการเรียกร้องการบวชภิกษุณีไม่ว่ามาจากความยึดติดในรูปแบบการเป็นนักบวชหรือเพราะได้รับอิทธิพลจากตะวันตก โดยหลักเหตุผลถือว่าไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ความชอบธรรมในการเรียกร้องเสียไป ส่วนที่เกี่ยวกับการบวชภิกษุณี การบวชภิกษุณีสามารถกระทำได้อย่างถูกต้องตามพระวินัย ทั้งโดยวิธีการบวชจากสงฆ์ฝ่ายเดียวหรือสองฝ่าย กรณีบวชจากสงฆ์ฝ่ายเดียวพระพุทธเจ้าไม่ได้ประกาศยกเลิก ส่วนกรณีบวชจากสงฆ์สองฝ่ายในปัจจุบันนี้ก็มีสงฆ์สองฝ่ายอยู่ครบถ้วน การทดแทนการบวชภิกษุณีเถรวาทด้วยการบวชชีถือเป็นทางเลือกอย่างหนึ่งของสตรีแต่ทดแทนการบวชภิกษุณีไม่ได้ และการแก้ปัญหาการบวชภิกษุณีในสังคมไทยถือเป็นอำนาจความรับผิดชอบของคณะสงฆ์ไทย
สาเหตุพื้นฐานของการคัดค้านการบวชภิกษุณีในสังคมไทยมาจากปัจจัยหลัก ๓ ประการ คือ (๑) ตัณหา (๒) ทิฏฐิ และ (๓) มานะ โดยตัณหาคือความอยากปกป้องระบบปิตาธิปไตยและอัตลักษณ์ของเถรวาทของผู้ที่ได้ประโยชน์จากอุดมคติดังกล่าว ทิฏฐิคือวาทกรรมต่างๆ ที่มุ่งให้เกิดความเข้าใจว่าการบวชภิกษุณีเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและเป็นไปไม่ได้ และมานะคือท่าทีที่มุ่งปฏิเสธการแก้ปัญหาการบวชภิกษุณีอย่างสร้างสรรค์ หากกลับมุ่งรักษาสภาพด้อยโอกาสของสตรีให้คงอยู่ต่อไป การแก้ปัญหาความขัดแย้งเรื่องการบวชภิกษุณีในสังคมไทย ประเด็นสำคัญต้องกลับไปมีทิฏฐิที่ถูกต้องทั้งที่เกี่ยวกับภิกษุณีและการบวชภิกษุณี หรือการกลับไปยึดถือหลักการและเจตนารมณ์การเกิดขึ้นของภิกษุณีในพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งพุทธบัญญัติว่าด้วยการบวชภิกษุณีของพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพ
ดาวน์โหลด
|