บทคัดย่อ
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ (๑). เพื่อศึกษารูปแบบการพัฒนาจิตใจผู้ต้องขังหญิงในทัณฑสถานหญิงกลางและรูปแบบการอบรมพัฒนาจิตใจของยุวพุทธิกสมาคมฯ (๒). เพื่อศึกษากระบวนการพัฒนาจิตใจผู้ต้องขังหญิงในทัณฑสถานหญิงกลางตามหลักพุทธธรรม และ (๓). เพื่อประเมินผลกระบวนการพัฒนาจิตใจผู้ต้องขังหญิงทัณฑสถานหญิงตามหลักพุทธธรรม เกี่ยวกับสมมติฐานของการวิจัยคือ ๑) ผู้ต้องขังหญิงที่เข้ารับการอบรมพัฒนาจิตใจตามหลักพุทธธรรมมีความคิดเห็นในเรื่องรูปแบบ, ประโยชน์, ความเหมาะสมของเนื้อหา, ความเหมาะสมของระยะเวลาและรูปแบบในอนาคตส่งผลต่อการพัฒนาจิตใจก่อนและหลังแตกต่างกัน และ ๒) ประสบการณ์ในการศึกษาธรรมศึกษาของผู้ต้องขังที่เข้ารับการอบรมพัฒนาจิต ส่งผลต่อการพัฒนาจิตใจที่แตกต่างกันไปด้วย
วิทยานิพนธ์เรื่องนี้เป็นการศึกษาผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research)และเชิงปริมาณ (Quantitative Research) สืบเนื่องมาจากผู้ต้องขังหญิงประเภทนักโทษเด็ดขาดในทัณฑสถานหญิงกลาง กรมราชทัณฑ์ได้มีการจัดอบรมด้านการพัฒนาการศึกษาในรูปแบบต่างๆ และการฝึกวิชาชีพ รวมถึงการฝึกอบรมทางศีลธรรมเป็นประจำในวาระพิเศษ เช่น วันสำคัญทางศาสนา และวันสำคัญของชาติ มีผลตามสถิติปรากฎตามที่อ้างถึงว่ายังมีผู้กระทำผิดซ้ำมากขึ้นทุกปี ผู้วิจัยจึงได้นำหลักการฝึกอบรมพัฒนาจิตใจที่ทัณฑสถานหญิงกลางและรูปแบบการฝึกอบรมพัฒนาจิตของยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์มาบูรณาการเป็นรูปแบบการฝึกอบรมพัฒนาจิตใจผู้ต้องขังหญิงในทัณฑสถานหญิงกลางตามหลักพุทธธรรม และจัดการฝึกอบรม เป็นเวลา ๕ สัปดาห์ โดย ผู้วิจัยได้กำหนดกระบวนการไว้ ๒ ขั้นตอน คือ (๑). การบูรณาการหลักธรรม ๕ ประการ คือ ก. ไตรสิกขา ๓, ข. บุญกิริยา ๑๐, ค. สังคหวัตถุ ๔, ง. เบญจศีล (ศีล ๕ ข้อ), และ จ. ทิศ ๖ (๒). เสริมวิธีการอบรม ๓ ประการดังนี้ ก.) เสริมสร้างให้ความรู้ในเรื่องทั้งทางโลกควบคู่ไปกับทางธรรมตามหลักโลกธรรม ๘ ข.) ส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องจริยธรรมการอยู่ร่วมกันด้วยความเมตตา เห็นอกเห็นใจกัน ตามหลักมัชฌิมาปฏิปทาโดยข้อปฏิบัติในมรรคมีองค์ ๘ ค.) เสริมสร้างทางจิตตภาวนาตามแนวทางสติปัฏฐาน ๔
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลได้แก่ ก.) แบบสอบถามผู้ต้องขังหญิงที่เข้ารับการฝึกอบรมพัฒนาจิตใจ ในโครงการการศึกษากระบวนการพัฒนาจิตใจของผู้ต้องขังหญิงในทัณฑสถานหญิงกลางตามหลักพุทธธรรม ผู้วิจัยได้เก็บข้อมูลก่อนและหลังการฝึกอบรมฯ ข.) แบบสัมภาษณ์เจาะลึกสำหรับอธิบดีกรมราชทัณฑ์, ผู้อำนวยการทัณฑสถานหญิงกลาง, พระวิปัสสนาจารย์และวิทยากรที่เข้าร่วมโครงการการฝึกอบรมพัฒนาจิตใจผู้ต้องขังหญิงในทัณฑสถานหญิงกลาง ค.) แบบสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ ผู้ควบคุมการฝึกอบรมพัฒนาจิตใจผู้ต้องขังหญิงในทัณฑสถานหญิงกลาง ง.) แบบทดสอบความฉลาดทางอารมณ์ (EQ-Test) ของกรมสุขภาพจิต
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นผู้ต้องขังหญิงคดีเด็ดขาด จำนวน ๑๐๐ คนโดยใช้แบบเจาะจงผลการวิจัย พบว่า
๑. การศึกษารูปแบบการพัฒนาจิตใจผู้ต้องขังหญิงในทัณฑสถานหญิงกลาง และรูปแบบการฝึกอบรมพัฒนาจิตใจของยุวพุทธฯ หลังจากผู้วิจัยได้ศึกษาการฝึกอบรมแล้ว ได้นำทั้งสองรูปแบบมาบูรณาการเป็นรูปแบบการพัฒนาจิตใจผู้ต้องขังหญิงในทัณฑสถานหญิงกลางตามหลักพุทธธรรม รูปแบบนี้มีความเหมาะสมที่ใช้สำหรับการจัดการฝึกอบรมฯ ให้กับผู้ต้องขังหญิงในทัณฑสถานหญิงกลาง
๒. การศึกษากระบวนการพัฒนาจิตใจผู้ต้องขังหญิงในทัณฑสถานหญิงกลางตามหลักพุทธธรรม ส่งผลให้ผู้วิจัยสามารถกำหนดตารางแสดงหลักสูตรการฝึกอบรมปฏิบัติธรรมวิปัสสนากรรมฐานแบบบูรณาการเข้มข้นแนวสติปัฎฐาน ๔ ระหว่างวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๓ – วันที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๓ ใช้สำหรับการฝึกอบรมผู้ต้องขังหญิงได้ผลเป็นที่พอใจกับผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย
๓. การประเมินผลกระบวนการพัฒนาจิตใจผู้ต้องขังหญิงทัณฑสถานหญิงกลางตามหลักพุทธธรรม ซึ่งผู้วิจัยได้ทำการประเมินผลกับผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายและนำข้อมูลที่ได้ทั้งหมดมาวิเคราะห์, สังเคราะห์ และสรุปผลการนำกระบวนการพัฒนาจิตใจไปใช้กับผู้ต้องขังหญิงฯ ได้ว่าทั้งรูปแบบและกระบวนการพัฒนาจิตใจผู้ต้องขังหญิงฯ นั้นมีประสิทธิผล
๔. ผู้ต้องขังหญิงที่เข้ารับการฝึกอบรมพัฒนาจิตใจตามหลักพุทธธรรมมีความคิดเห็นในเรื่องรูปแบบ, ผลประโยชน์, ความเหมาะสมของเนื้อหา, ความเหมาะสมของระยะเวลาและรูปแบบในอนาคตส่งผลต่อการพัฒนาจิตใจก่อนและหลังแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ .๐๑
๕. ประสบการณ์ในการศึกษาธรรมศึกษาของผู้ต้องขังหญิงในทัณฑสถานหญิงกลางที่เข้ารับการฝึกอบรมฯ ส่งผลต่อการพัฒนาจิตใจก่อนและหลังแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ.๐๑
จึงสรุปได้ว่า กระบวนการการพัฒนาจิตใจผู้ต้องขังหญิงในทัณฑสถานหญิงกลางตามหลักพุทธธรรมโดยรูปแบบการพัฒนาจิตใจแบบบูรณาการตามหลักพุทธธรรมนี้ตามความคิดเห็นของผู้ต้องขังหญิงในทัณฑสถานหญิงกลางอยู่ในระดับมาก
ดาวน์โหลด |