บทคัดย่อ
วิทยานิพนธ์เรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ ๓ ประการคือ (๑) เพื่อศึกษาความงามในพระพุทธศาสนา (๒) เพื่อศึกษาแนวคิดเรื่องการทำศัลยกรรม และ (๓) เพื่อศึกษาการทำศัลยกรรมความงามในมุมมองของพระพุทธศาสนา โดยผู้วิจัยทำการศึกษาเชิงเอกสาร ผลการศึกษาพบว่า
ความงามในพระพุทธศาสนาสามารถแบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภท คือความงามภายนอกและความงามภายใน ความงามภายนอกคือสิ่งที่เป็นรูปธรรม มองเห็นด้วยประสาทสัมผัส โดยความงามแบบปุถุชนที่รู้จักกันเป็นอย่างดีคือความงามแบบเบญจกัลยาณี และความงามแบบพิเศษคือความงามแบบมหาปุริสลักษณะ ส่วนความงามภายในคือความงามที่เป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ เป็นความงามที่มีความสมบูรณ์อยู่ในตัว โดยความงามภายในสามารถแบ่งออกเป็น ๓ ขั้น คือ ความงามในเบื้องต้นหมายถึงศีล ความงามในท่ามกลางหมายถึงอริยมรรค และความงามในที่สุดหมายถึง พระนิพพาน นอกจากนี้ความงามภายในคือการน้อมนำเอาหลักธรรมที่ทำให้งามมาประพฤติปฏิบัติ แต่ในปัจจุบัน ความงามภายในกลายเป็นสิ่งที่สังคมเพิกเฉยเพราะความงามภายนอกเป็นรูปธรรม มองเห็นได้ง่าย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้คนต้องดิ้นรนแสวงหาเพื่อให้ได้มาซึ่งรูปร่างหน้าตาที่สวยงาม จนนำไปสู่การทำศัลยกรรมความงาม
การทำศัลยกรรม สามารถแบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภท คือศัลยกรรมเสริมสร้างและศัลยกรรมความงาม ศัลยกรรมเสริมสร้างเป็นการทำศัลยกรรมเพื่อแก้ไขความผิดปกติของอวัยวะ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้อวัยวะดังกล่าวมีการใช้งานที่ดีขึ้น ส่วนศัลยกรรมความงามเป็นการทำศัลยกรรมเพื่อความงามเพียงอย่างเดียว การทำศัลยกรรมในยุคแรกเป็นเพียงศัลยกรรมเสริมสร้างเท่านั้น จนมาถึงหลังสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ เริ่มมีการทำศัลยกรรมความงามเข้ามาและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จนในปัจจุบันประเทศไทยมีคลีนิคศัลยกรรมความงามอยู่มากมาย ต่างพากันแข่งขันลดราคา ทำให้ราคาของการทำศัลยกรรมความงามถูกลงและกลายเป็นเรื่องที่ไม่จำกัดเฉพาะกลุ่มผู้มีฐานะดีอีกต่อไป แม้ว่าการจะได้มาซึ่งความงามดังกล่าว จำเป็นต้องแลกด้วยทรัพย์ ความเจ็บปวด ความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงและผลลัพธ์ที่อาจไม่เป็นไปดังที่คาดหวังไว้ แต่คนส่วนใหญ่ก็ยอมรับได้และมองว่าการทำศัลยกรรมความงามเป็นเรื่องปกติ
การที่คนเกิดมามีรูปร่างหน้าตาแตกต่างกันนั้น ในทางพระพุทธศาสนาเชื่อว่าเกิดจากกรรมดีและกรรมชั่วที่บุคคลนั้นทำไว้เมื่อชาติก่อน ในขณะที่ทางโลกเชื่อว่า ความแตกต่างนั้นเกิดจากพันธุกรรมที่ได้รับมาจากบิดามารดาและบรรพบุรุษ และด้วยความเชื่อในทางโลกมากกว่านี้เอง ทำให้คนในสังคมละเลยเรื่องบาปบุญ มุ่งแต่จะพัฒนาความงามภายนอกมากกว่าความงามภายใน ในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ทรงมีวิธีแก้ไม่ให้คนยึดติดในรูป โดยให้บุคคลเห็นถึงความไม่เที่ยงของรูป ไม่ว่าจะเป็นการนิรมิตร่างที่ค่อยๆ เปลี่ยนสภาพไป จากร่างหนุ่มสาว เป็นร่างชรา ป่วยและเสียชีวิต หรือการเจริญกายคตาสติและการเจริญอสุภกรรมฐาน ทั้งนี้เพื่อให้เห็นความจริงของชีวิต ว่าไม่มีอะไรเที่ยง สอดคล้องกับผลจากการสัมภาษณ์ของภิกษุผู้ทรงคุณวุฒิทางพระพุทธศาสนาที่มีความคิดเห็นว่า การทำศัลยกรรมความงามเป็นการสนองตัณหาเพียงชั่วคราว ท้ายสุดแล้ว ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนไปตามกฎของไตรลักษณ์โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ดาวน์โหลด
|