งานวิจัยชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเรื่องฌานและปัญญาพร้อมทั้งวิเคราะห์ ความสัมพันธ์ระหว่างฌานและปัญญาในพระพุทธศาสนาเถรวาท โดยในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยมุ่งศึกษาการปฏิบัติเพื่อบรรลุฌาน ผลของการบรรลุฌาน การปฏิบัติเพื่อบรรลุปัญญา และอานิสงส์ของปัญญา ซึ่งเป็นผลมาจากการปฏิบัติสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน อันเป็นหลักปฏิบัติที่อนุชนจะต้องถือเอาเป็นหลักในการปฏิบัติ เพื่อพัฒนากายกับจิตให้มี คุณภาพในการดำเนินชีวิตต่อไป จากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างฌานและปัญญาในพระพุทธศาสนาเถรวาท ทำให้ผู้วิจัยได้ข้อค้นพบที่ถือว่าเป็นสาระสำคัญของงานวิจัยเรื่องนี้ ดังต่อไปนี้ ผู้ปฏิบัติเพื่อบรรลุฌาน (สมถะ) ในสมัยก่อนพุทธกาลครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระโพธิสัตว์ สมัยนั้นไม่มีพิธีกรรมในการปฏิบัติเพียงแต่กล่าวถึงการบำเพ็ญพรตมีการ เพ่งกสิณเป็นต้น มาถึงสมัยพุทธกาลพุทธบริษัทได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้ามีจิตเป็นสมาธิ แล้วใช้ปัญญาพิจารณาธรรมนั้นก็สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้ ต่อมาในสมัยปัจจุบันได้ มีการปฏิบัติอย่างเป็นขั้นตอน คือ ผู้ปฏิบัติจะต้องสมาทานศีลตัดความกังวลและเข้าไปหา อาจารย์ผู้สอนกรรมฐานและเลือกอารมณ์กรรมฐานที่เหมาะกับจริตของตนแล้วลงมือปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติเมื่อบรรลุฌานแล้ว จิตเกิดสมาธิสงบแน่วแน่ ปีติความอิ่มใจสุขใจก็ เกิดขึ้น ทำให้ผู้ปฏิบัติติดอยู่กับฌาน เมื่อติดอยู่กับฌานแล้วจึงไม่ต้องการที่จะบำเพ็ญปัญญา(วิปัสสนา) ต่อไปได้ อีกประการหนึ่ง อีกประการหนึ่ง มีคำกล่าวไว้ว่า “ฌานเป็นบาทฐาน ของปัญญา” ซึ่งหมายความว่า ฌานเป็นพื้นฐานของการเจริญปัญญา ดังนั้น เมื่อกล่าวอย่าง ถูกต้องแล้วการบำเพ็ญฌานจึงต้องเชื่อมโยงไปสู่การเจริญปัญญา (วิปัสสนา) เสมอ การปฏิบัติแนวสมถะ (ฌาน) วิปัสสนา (ปัญญา) ทั้งสองอย่างนี้มีจุดมุ่งหมาย เดียวกัน คือ ความหลุดพ้นจากกิเลส แต่การหลุดพ้นจากกิเลสตามแนวการปฏิบัติสมถะ (ฌาน) เป็นเพียงการข่มกิเลสไว้เหมือนกับหินทับหญ้า เมื่อนำหินออกหญ้าก็งอกขึ้นอีก ส่วน ความหลุดพ้นจากกิเลสตามแนวการปฏิบัติวิปัสสนา (ปัญญา) เป็นการหลุดพ้นจากกิเลสอย่าง สิ้นเชิงฌาน (สมถะ) และปัญญา (วิปัสสนา) ถือว่าเป็นแบบอย่างที่อนุชนพึงประพฤติ ปฏิบัติ เพราะถ้าหากใครประพฤติปฏิบัติตามแล้วผลที่ได้รับคือ มีชีวิตอยู่ด้วยความผาสุกและ บรรลุจุดมุ่งหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา
Download : 254819.pdf