งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ ๓ ข้อคือ (๑) เพื่อศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับเทวดาในมุมมองพระพุทธศาสนาเถรวาท (๒) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทวดาในมุมมองพระพุทธศาสนาเถรวาท (๓) เพื่อศึกษาประโยชน์ จากความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทวดาในมุมมองพระพุทธศาสนาเถรวาท
ผลของการวิจัยพบว่า มุมมองพระไตรปิฎกได้ระบุถึงแนวคิดเกี่ยวกับเทวดาปรากฏทั้งในพระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม โดยเฉพาะในพระสูตรนั้น ได้กล่าวถึงเทวดาไว้เป็นจำนวนมาก ประมวลเรื่องเทวดาเอาไว้เรียกว่า เทวตาสังยุต พระพุทธศาสนาให้การยอมรับว่า เทวดามีอยู่จริง เทวดาเป็นผู้มีความพิเศษในตัวคือ มีกายทิพย์ มีรัศมีงดงาม มีอายุยืนยาว เป็นประชากรชาวสวรรค์ เล่นสนุกสนานด้วยกามคุณ ๕ และด้วยคุณพิเศษมีฌานและอภิญญาเป็นต้น เทวดามาจากมนุษย์ คือมนุษย์ประพฤติสุจริตทางกาย วาจา และใจ จะมีสุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า พระพุทธ ศาสนา ได้แสดงถึงหลักปฏิบัติที่จะทำให้มนุษย์เป็นเทวดา โดยให้ปฏิบัติในหลักบุญกิริยาวัตถุ ๓ บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ หลักสัมปทา ๕ วัตตบท ๗ และหลักเทวธรรม หลักปฏิบัติเหล่านี้เป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่งแก่ผู้ปฏิบัติ เพราะเป็นหลักที่ช่วยเสริมสร้างกำลังใจ ให้ความหวัง ทำให้ผู้ปฏิบัติตามได้ดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท เมื่อตายแล้วจะได้ไปเกิดที่สวรรค์
บทบาทของเทวดา จะเห็นว่ามีทั้งบทบาทในด้านบวก เช่น การให้ความ ช่วยเหลือหรือดูแลผู้ทรงศีลทรงธรรม การมาเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรมหรือทูลถามปัญหา และบทบาทในด้านลบ เช่น เกิดความอิจฉาริษยา ทำการขัดขวางหรือรบกวนผู้ที่ใจอ่อน ไม่เข้มแข็งให้ตกอยู่ใต้อำนาจและชักนำไปในทางที่ไม่ดี มนุษย์ควรวางท่าทีหรือปฏิบัติให้ถูกต้องต่อเทวดาใน ๔ แนวทาง คือ (๑) เทวตาพลี ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่เทวดา (๒) เทวตานุสติ หมั่นระลึกนึกถึงคุณธรรมหรือคุณสมบัติที่ทำ ให้เป็นเทวดา เช่น มีศรัทธา มีศีล (๓) แผ่เมตตาจิตไปยังเทวดา เป็นการแสดงถึงความ ปรารถนาดีต่อเทวดาในที่นั้นๆ และ (๔) อัญเชิญเทวดามาร่วมทำความดี เช่น อัญเชิญมาร่วม ฟังธรรม ดังที่ชาวพุทธนิยมสวดชุมนุมเทวดาในการประกอบพิธีทำบุญก่อนที่จะมีการเจริญพระพุทธมนต์
ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทวดา จึงเป็นข้อที่ควรพิจารณาให้ถ่องแท้ กล่าวคือ คนส่วนใหญ่มักเข้าไปเกี่ยวข้องกับเทวดาด้วยผลในทางปฏิบัติ คือ หวังพึ่งพาอาศัยและขออำนาจดลบันดาลต่างๆ และหลักการดังกล่าวมาแล้ว เทวดาทั่วไปก็จะเป็นผู้มีฤทธิ์ เรื่องเทวดาจัดเข้าในประเภทสิ่งลึกลับ เป็นเรื่องเหนือสามัญวิสัย กล่าวคือ ไม่สามารถพิสูจน์ได้ คือเอามาแสดงให้เห็นจริงจนต้องยอมรับโดยเด็ดขาดไม่ได้ ฝ่ายที่เชื่อก็ไม่อาจพิสูจน์ให้คนทั่วไปเห็นได้ชัดแจ้งจนหมดความสงสัยจนกระทั่งต้องยอมรับกันทั่วทั้งหมด ฝ่ายที่ไม่เชื่อก็ไม่สามารถที่จะชี้แจงให้เห็นจริงโดยเด็ดขาดลงไปได้ “การมัววุ่นวายกับการพิสูจน์สิ่งเหล่านั้น ย่อมก่อให้เกิดโทษหลายอย่างทั้งแก่บุคคลและสังคม นอกจากเสียเวลาและเสียกิจการเพราะความหมกมุ่นวุ่นวายแล้วจะต้องมัวรอกันอยู่จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่ามีจริงหรือไม่มี ดังนั้นประโยชน์อย่างยอดยิ่ง หรือประโยชน์ที่เป็นสาระแท้ของชีวิต เป็นจุดหมายสูงสุดหรือที่หมายขั้นสุดท้าย ได้แก่ การรู้แจ้งสภาวะของสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง รู้เท่าทันคติธรรมดาของสังขารธรรม ไม่ตกเป็นทาสของโลกและชีวิต มีจิตเป็นอิสระปลอดโปร่งผ่องใสไม่ถูกบีบคั้นคับข้องจำกัดด้วยความยึดถือมั่นหวั่นหวาดของตนเอง ปราศจากกิเลสเผาลนที่ทำให้เศร้าหมองขุ่นมัว อยู่อย่างไร้ทุกข์ประจักษ์แจ้งความสุขประณีตภายในที่สะอาดบริสุทธิ์สิ้นเชิงอันประกอบพร้อมด้วยความสงบเยือกเย็นสว่างไสวเบิกบานโดยสมบูรณ์ เรียกว่า วิมุตติและนิพพาน
|