วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ ๓ ประการ คือ ๑) เพื่อศึกษาความเป็นมาและความสำคัญของอำมาตย์ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท ๒) เพื่อศึกษาหลักธรรมสำหรับการทำหน้าที่ของอำมาตย์ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท และ ๓) เพื่อวิเคราะห์บทบาทของอำมาตย์ ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงเอกสาร วิเคราะห์แบบจับประเด็น
ผลการวิจัยพบว่า คำว่า “อำมาตย์” หมายถึง บุคคลผู้เป็นที่ปรึกษาในราชกิจ ข้าเฝ้ารับใช้ใกล้ชิดของพระราชา และข้าราชบริพารชั้นผู้ใหญ่ เป็นผู้มีความสำคัญต่อพระราชาที่จะคอยช่วยเหลือในการปกครองและบริหารบ้านเมือง อำมาตย์นี้พระราชาจะทรงคัดเลือกมาจากบุคคลผู้ที่มีความสามารถและมีความจงรักภักดีต่อบ้านเมือง อำมาตย์คนที่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ และจงรักภักดี ย่อมจะมีความเจริญก้าวหน้าในตำแหน่ง แต่อำมาตย์คนที่ไม่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ ด้วยความซื่อสัตย์ ก็จะถูกลงโทษให้พ้นจากตำแหน่ง อำมาตย์นั้นมีบทบาทและหน้าที่ ที่สำคัญ ๕ ด้าน และการทำหน้าที่ของอำมาตย์ทั้ง ๕ ด้านนั้น จะต้องมีหลักธรรมที่นำมาใช้สำหรับการทำหน้าที่
หลักธรรมที่อำมาตย์นำมาใช้เป็นหลักในการทำหน้า ๕ ด้าน นั้น คือ ๑) ราชวสดีธรรม สัปปุริสธรรม อธิษฐานธรรม และโลกธรรม ใช้เป็นหลักในการทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาพระราชา ๒) พาหุสัจจะและกัลยาณมิตรธรรม ใช้เป็นหลักในการทำหน้าที่อบรมสั่งสอนธรรม ๓) กตัญญู ทศพิธราชธรรม อปริหานิยธรรม และพรหมวิหารธรรม ใช้เป็นหลักในการทำหน้าที่ดูแลกำลังทหารและปกครองบ้านเมือง ๔) การเว้นจากอคติ และธรรมาธิปไตยใช้เป็นหลักในการทำหน้าที่ตัดสิน คดีความ และ ๕) สังคหวัตถุธรรม ใช้เป็นหลักในการทำหน้าที่ช่วยเหลือประชาชน, อุปาสกธรรม บุญกิริยาวัตถุ และอริยทรัพย์ ใช้เป็นหลักในการทำหน้าที่ดูแลงานด้านพระศาสนา, ฆราวาสธรรม การเว้นจากอบายมุข และสุขของคฤหัสถ์ ใช้เป็นหลักในการดูแลครอบครัว
ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาทนั้น อำมาตย์มีบทบาทหน้าที่ ที่สำคัญในสังคม ๕ ด้าน คือ ๑) ถวายคำปรึกษาแก่พระราชา ๒) ถวายความรู้และอบรมสั่งสอนธรรม ๓) ดูแลกำลังทหารและปกครองบ้านเมือง ๔) ตัดสินคดีความ และ ๕) ธุรการและกิจการทั่วไป บทบาทเหล่านี้มีผลต่อระบบการเมืองการปกครอง ระบบเศรษฐกิจ ระบบการศึกษา และระบบสังคม เป็นอย่างยิ่ง ได้ถูกนำมาใช้ ให้เกิดประโยชน์ มีคุณค่ากับสังคมในปัจจุบัน
|