วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ เป็นการวิจัยเอกสารโดยวิธีวิจัยเชิงคุณภาพซึ่งมีวัตถุประสงค์ของการศึกษา ๓ ประการ คือ (๑) เพื่อศึกษายักษ์ที่ปรากฏในพระพุทธศาสนา (๒) เพื่อศึกษาศิลปกรรมไทย (๓) เพื่อศึกษายักษ์ในพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในศิลปกรรมไทย ผลของการศึกษาพบว่า
ยักษ์ที่ปรากฏในพระพุทธศาสนา พบว่า ปรากฏอยู่อย่างกระจัดกระจายในพระพุทธศาสนาซึ่งกล่าวไว้หลายแห่งทั้งในคัมภีร์พระวินัยปิฎก คัมภีร์พระสุตตันตปิฎก คัมภีร์พระอภิธรรมปิฎกและอรรถกถา ฎีกา เป็นต้น ตามความหมายยักษ์หมายถึง อมนุษย์จำพวกที่เกิดในอบาย มี ๒ ลักษณะ คือ ลักษณะเฉพาะตนและลักษณะทางสังคม ยักษ์มีการปกครองกันไม่ได้อยู่โดยลำพัง ประเภทและลำดับชั้นของยักษ์มีทั้งบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ชั้นอสุรกายภูมิและชั้นติรัจฉานภูมิ ในแต่ละชั้นมีท้าวจาตุมหาราชเป็นอธิบดีปกครองใน ๔ ทิศ (๑) คือ ด้านทิศเหนือมีท่านท้าวกุเวโร (ยักษ์) เป็นอธิบดีปกครอง (๒) คือ ด้านทิศตะวันออก มีท่านท้าวธตรฐ เป็นอธิบดีปกครอง (๓) ด้าน ทิศใต้ มีท่านท้าววิรุณหก เป็นอธิบดีปกครอง (๔) ด้าน ทิศตะวันตก มีท่านท้าววิรูปักษ์ เป็นอธิบดีปกครอง
ศิลปกรรมเป็นผลงานทางประวัติศาสตร์ที่มนุษย์ชาติได้สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อแสดงคุณค่าและวิวัฒน์การของมนุษย์ในรูปศิลปกรรม ฉะนั้นศิลปกรรมจึงทรงคุณค่าและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะในแต่ละชาติพันธุ์ ในประเทศไทยได้ถูกนำมาในลักษณะงานศิลปะในแขนงต่างๆ ทั่วไป ศิลปกรรมมี ๓ ประเภท คือประเภทประติมากรรม สถาปัตยกรรมและจิตรกรรม ซึ่งมีบทบาทในงานศิลปกรรมของไทย
ยักษ์ในพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในศิลปกรรมไทย พบว่า ยักษ์ในพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในศิลปกรรมไทยมีรูปร่างลักษณ์เป็นรูปปั้นปูนยืนถือกระบองอยู่หน้าวัดโบสถวิหารซึ่งมีลักษณะโดดเด่นไปตามเอกลักษณ์เป็นอยู่แทบทุกภาคของประเทศไทย ที่ปรากฏในรูปแบบงานศิลปกรรมไทยซึ่งมีความโดดเด่น เป็นเอกลักษณ์เฉพาะในแต่ละภูมิภาคของไทย เช่น ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ เป็นต้น
|