การศึกษาวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ ๓ ประการ คือ ๑) เพื่อศึกษาการคบมิตรในทางพระพุทธศาสนาเถรวาท ๒) เพื่อศึกษาการคบมิตรในทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ๓) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการคบมิตรในทางพระพุทธศาสนาเถรวาทกับศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
ผลการวิจัยพบว่า
มิตรในพระพุทธศาสนาเถรวาทและศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู มีนัยที่เหมือนกัน คือ มิตรแท้และมิตรเทียมโดยมิตรแท้นั้นมีลักษณะที่ควรแก่การคบหาสมาคมด้วย ส่วนมิตรเทียมหรือทุรมิตร มิตรชั่ว ไม่ควรคบหาสมาคมด้วย เพราะมีแต่การชักนำไปสู่ความเสื่อมทั้งตัวเองและส่วนรวมความสำคัญของมิตรในทัศนะของพระพุทธศาสนาเถรวาท คือ เป้าหมายของการคบมิตร ๒ ลักษณะคือ การคบมิตรเพื่อเป้าหมายอันเป็นโลกิยะหมายถึงมิตรสหายทั่วไป กับการคบมิตรเพื่อเป้าหมายอันเป็นโลกุตระ เพื่อเข้าสู่เป้าหมายสูงสุดคือพระนิพพาน ส่วนศาสนาพราหมณ์ ฮินดู ก็มีเป้าหมายคือการเข้าสู่ความเป็นเพื่อนกับพรหมหรือพระผู้เป็นเจ้า โดยมุ่งแสวงหาบุคคลผู้ชี้หนทางแห่งโมกษะ
การฝึกตนให้เป็นมิตรที่ดีนั้น พระพุทธศาสนาเถรวาท มองว่า ๑) เราเองต้องทำตัวเองให้เป็นมิตรที่ดีแก่บุคคลอื่น ๒) ทำตนให้เป็นที่รักแก่บุคคลอื่น ๓) เราต้องทำตัวเองให้เป็นกัลยาณมิตร ส่วนศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู มุ่งให้บุคคลพัฒนาตนทั้ง ๓ ด้าน ๑) ด้านกาย ๒) ด้านวาจา และ ๓) ด้านจิตใจ
ในประเด็นเกี่ยวกับหลักธรรมที่ส่งเสริมการคบมิตร ทั้งพระพุทธศาสนาเถรวาทและศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู มีมุมมองคล้ายกัน ซึ่งสามารถแบ่งได้ ๒ ประการด้วยกัน คือ ๑) หลักธรรมพื้นฐานทั่วไป และ ๒) หมวดสร้างมนุษย์สัมพันธ์
ในประเด็นการนำหลักการคบมิตรไปประยุกต์ใช้กับสังคม ผู้วิจัยเสนอวิธีนำไปใช้ ๖ ประการด้วยกัน คือ (๑) ความเอื้ออาทร (๒) ความเชื่อถือและไว้วางใจ (๓) ความรู้สึกเอาใจเขามาใส่ใจเรา (๔) ความเห็นอกเห็นใจ (๕) การให้ความเคารพ และ (๖) ความเป็นผู้มีอารมณ์ขัน ซึ่งทั้ง ๖ ประการนั้นเป็นลักษณะร่วมกันของทั้ง ๒ ศาสนาที่จะนำมาประยุกต์ใช้กับสังคมได้อย่างเป็นรูปธรรมและได้ผลอย่างชัดเจน
|