การศึกษาวิจัยมีวัตถุประสงค์ ๓ ประการคือ (๑) เพื่อศึกษาระบบอุปถัมภ์และปัญหาจากระบบอุปถัมภ์ที่เกิดขึ้นในส่วนราชการไทย (๒) เพื่อศึกษากระบวนการแก้ปัญหาจากระบบอุปถัมภ์ที่เกิดขึ้นในส่วนราชการไทย (๓) เพื่อศึกษากระบวนการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากระบบอุปถัมภ์ในส่วนราชการไทยด้วยพุทธบูรณาการ การวิจัยครั้งนี้ ได้ศึกษาประชากร จำนวน ๓๔ รูป/คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แบ่งออกเป็น ๓ ขั้นตอน ได้แก่ (๑) การบันทึก (Record Form) (๒) แบบสังเกต (Observation form) (๓) การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (the depth Interview form) ใช้วิธีวิเคราะห์แบบค่าเฉลี่ยร้อยละและแบบพรรณนา (Descriptive Analysis)
ผลการวิจัยพบว่า ระบบราชการไทย ที่มีปัญหาและไม่มีประสิทธิภาพ เกิดจากการเล่นพรรคเล่นพวก และการช่วยเหลือญาติพี่น้อง ปัญหาต่าง ๆ ของระบบราชการไทย สามารถแก้ไขได้โดยนำเอาระบบคุณธรรมเข้ามาแทนที่ระบบอุปถัมภ์ การบริหารและจัดการที่ดีโดยผู้บริหารต้องมีจิตสำนึกที่ดี ไม่มีอคติ ๔ ทั้งนี้ เพราะระบบอุปถัมภ์เป็นความสัมพันธ์ระหว่างคนสองกลุ่มที่เอื้อประโยชน์ให้แก่กันและกัน โดยมีฐานะทางสังคมแตกต่างกัน คนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสูงกว่า จะใช้อิทธิพลและสิ่งที่มีอยู่คุ้มครองให้ผลประโยชน์แก่ผู้มีฐานะต่ำ ข้าราชการเมื่อไม่มีโอกาสเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ก็จะออกไปหางานอื่นที่มีโอกาสดีกว่า สร้างปัญหาให้แก่ส่วนราชการนั้นอย่างมาก เป็นอุปสรรคและเป็นสิ่งที่บั่นทอนประสิทธิภาพในการทำงานของหน่วยราชการเป็นอย่างยิ่ง เพราะระบบอุปถัมภ์ไม่พิจารณาความรู้ความสามารถ ผลงานหรือแม้แต่ความอาวุโส จึงทำให้บุคลากรในหน่วยงานไม่เห็นความสำคัญของการทำงานให้มีประสิทธิภาพ
สังคมแบบพุทธเป็นสังคมแห่งการเกื้อกูลกันระหว่างพุทธบริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา โดยฝ่ายอุบาสกและอุบาสิกา จะเป็นผู้เกื้อกูลอุปถัมภ์บำรุงภิกษุ ภิกษุณี ด้วยปัจจัย ๔ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานเภสัช ฝ่ายภิกษุและภิกษุณีก็จะเกื้อกูลอุบาสกและอุบาสิกาด้วยการแนะนำหลักการแห่งการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง มีหลักพรหมวิหาร ๔ อคติ ๔ และสังคหวัตถุ ๔ เป็นอาทิ การที่พระสงฆ์ได้รับความอุปถัมภ์บำรุงด้วยอามิสทานและอามิสบูชาจากอุบาสกและอุบาสิกานั้น ถือได้ว่าบุคคลเหล่านั้นเป็นผู้มีส่วนช่วยในการอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนาทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองและแพร่หลายดำรงคงมั่นมาจนถึงปัจจุบัน
หัวหน้าหน่วยงานหรือผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้น ต้องมีจิตสำนึกที่จะรับผิดชอบชั่วดี ในการบริหารและจัดการหน่วยงานของตน ต้องยึดหลักเหตุผลและความยุติธรรม ให้ความเสมอภาคและสิทธิเท่าเทียมกันหมดกับทุกคนในองค์กร ต้องไม่ใช้ระบบเส้นสาย ใช้ระบบคุณธรรมเข้ามาแทนที่ระบบอุปถัมภ์ พิจารณาผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ และมีคุณธรรมจริยธรรมเป็นหลัก ในการรับสมัครบุคคลเข้ารับราชการ เลื่อนขั้นเงินเดือนและเลื่อนตำแหน่ง ไม่พิจารณาว่าเป็นคนของใคร เป็นญาติพี่น้องหรือเป็นเพื่อนสนิทมิตรสหาย พิจารณาที่ผลงาน โดยปฏิบัติตามที่ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ ได้ทรงวางรากฐานระบบราชการพลเรือนไว้เป็นหลักที่สำคัญคือ ๑) ให้ข้าราชการพลเรือนทั้งหมดอยู่ภายใต้ระเบียบเดียวกัน ๒) ให้เลือกสรรผู้มีความรู้ความสามารถเข้ารับราชการโดยเสมอภาคและยุติธรรม
ต่อมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งระบบการปกครองของประเทศเป็นแบบประชาธิปไตยซึ่งมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์พระประมุข ฝ่ายนิติบัญญัติโดยผ่านรัฐสภาได้มีการตราพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากระบบอุปถัมภ์ในส่วนราชการไทย ที่สำคัญคือ ๑) การรับบุคลากรเพื่อบรรจุเข้ารับราชการและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ต้องคำนึงถึงความรู้ความสามารถของบุคคล ความเสมอภาค ความเป็นธรรม และประโยชน์ทางราชการ ๒) ให้ส่วนราชการมีหน้าที่ดำเนินการให้มีการเพิ่มพูนประสิทธิภาพ และเสริมสร้างแรงจูงใจแก่ข้าราชการพลเรือน เพื่อให้ข้าราชการพลเรือนมีคุณภาพ คุณธรรม จริยธรรม คุณภาพชีวิต มีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติราชการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ
ผู้บังคับบัญชาจะต้องนำพุทธธรรมมาบูรณาการในการบริหารบุคคล และบริหารงานแบบธรรมาธิปไตย ไม่มีอคติ ๔ มีสาราณียธรรม ๖ และสัปปุริสธรรม ๗ ได้แก่ รู้จักเหตุ รู้จักผล รู้จักตน รู้จักประมาณ รู้จักกาล รู้จักชุมชน และรู้จักบุคคล ก็จะสามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากระบบอุปถัมภ์ในส่วนราชการไทยได้
|