ในการศึกษาวิเคราะห์แนวคิดสังคมนิยมในพุทธปรัชญาเถรวาท ผู้วิจัยได้ตั้งวัตถุประสงค์ของการศึกษาไว้ ๓ ประการ คือ (๑) เพื่อศึกษาแนวคิดสังคมนิยมของคาร์ล มาร์กซ์ (๒) เพื่อศึกษาแนวคิดสังคมนิยมในพุทธปรัชญาเถรวาท และ (๓) เพื่อวิเคราะห์แนวคิดสังคมนิยมในพุทธปรัชญาเถรวาทภายใต้กรอบแนวคิดของคาร์ล มาร์กซ์ ซึ่งเป็นการศึกษาวิจัยเชิงเอกสาร
จากการศึกษาวิจัยพบว่า แนวคิดสังคมนิยมของคาร์ล มาร์กซ์ มีความเชื่อว่าสังคมประวัติศาสตร์ได้ทำการต่อสู้ขัดแย้งกันระหว่างชนชั้นมาโดยตลอด จากสังคมบรรพกาล สังคมทาส สังคมศักดินา สังคมทุนนิยมและจนถึงสังคมนิยม ความขัดแย้งดังกล่าวเกิดจากความต้องการที่จะครอบครองวัตถุผลิตไว้เป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัว คาร์ล มาร์กซ์ จึงเสนอให้รัฐกรรมาชีพทำการปฏิวัติด้วยความรุนแรงเด็ดขาด เพื่อทำการยกเลิกระบบชนชั้น ระบบกรรมสิทธิ์ และทำการบังคับหรือควบคุมโครงสร้างปัจจัยการผลิตให้ตกเป็นของสังคมส่วนรวม เพราะสังคมมีความสำคัญมากกว่าปัจเจกบุคคล และความยุติธรรมหรือความเสมอภาคเท่าเทียมย่อมตั้งอยู่บนพื้นฐานของการผลิตและการแบ่งปัน ดังนั้น เมื่อทุกคนเป็นผู้ใช้แรงงานก็ย่อมมีสิทธิ์ที่จะได้รับค่าตอบแทนตามความสามารถ เมื่อใดที่วัตถุผลผลิตมีมากเพียงพอที่ทุกคนจะมีโอกาสได้รับตามความต้องการ เมื่อนั้นสังคมก็จะก้าวเข้าสู่สังคมคอมมิวนิสต์ที่ปราศจากรัฐและชนชั้น คงเหลือแต่โครงสร้างของระบบการบริหารจัดการ
แนวคิดสังคมนิยมของพระพุทธเจ้าเกิดจากการปฏิเสธระบบวรรณะ ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งหรือตรงข้ามกัน ๒ กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มชนชั้นนำที่ครอบครองปัจจัยการผลิต คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ และกลุ่มชนชั้นต่ำที่ปราศจากปัจจัยการผลิต คือ ศูทร สภาพของสังคมเกิดมีความไม่เสมอภาคเท่าเทียมกันทั้งในด้านการเมือง การศึกษาและเศรษฐกิจ พระองค์จึงทรงสร้างสังคมสงฆ์ให้เป็นสังคมแห่งทางเลือกและการปลดปล่อยด้วยพุทธวิธี คือ การอุปสมบท ระบบพรรษา ระบบอุปัชฌาย์อาจารย์ ระบบทรัพย์สินของสงฆ์ส่วนกลาง สงฆ์จะต้องให้ความสำคัญ เคารพและยำเกรงในความเป็นสังคมสงฆ์ และจะต้องยึดถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่เป็นมาตรฐานเดียวกันหมด คือ พระธรรมวินัย
สังคมสงฆ์ได้กลายเป็นสังคมนิยมที่มีแนวคิดเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน กล่าวคือ พระพุทธเจ้าทรงใช้สันติวิธีที่จะไม่เข้าไปทำลายสังคมเก่า ทรงใช้เผด็จการโดยธรรมเพื่อให้เกิดความศรัทธาเชื่อมั่นและการยินยอมที่จะปฏิบัติตามโดยสมัครใจ ในขณะที่สังคมเก่ายังคงเป็นสังคมศักดินาแบบเข้มข้น สังคมสงฆ์กลับยกเลิกระบบชนชั้นวรรณะและยกเลิกกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินส่วนตัว และก้าวเข้าสู่ความเป็นสังคมรวมหมู่ที่มีธรรมเนียมปฏิบัติเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นการใช้ปัจจัย ๔ เท่าที่จำเป็น การไม่สะสมส่วนเกิน การมุ่งเสียสละเพื่อสร้างประโยชน์สุขต่อสังคมส่วนรวม สังคมสงฆ์ได้กลายเป็นสังคมที่สงฆ์ทุกรูปมีสิทธิ์ มีโอกาส มีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน ทั้งในด้านวัตถุและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ นอกจากนี้สังคมสงฆ์ยังมีความเป็นอิสระในการปกครองดูแลกันเอง ภายใต้ระบบหรือรูปแบบการบริหารจัดการที่ถูกกำหนดไว้แล้วตามเงื่อนไขแห่งพระธรรมวินัย สังคมสงฆ์จึงเป็นสังคมที่ปราศจากชนชั้น ปราศจากผู้นำปกครองในเชิงปัจเจกชน แต่เป็นสังคมที่ดำรงอยู่ได้โดยอาศัยความเป็นสังคมหนึ่งเดียว
|