บทคัดย่อ
วิทยานิพนธ์เรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาแนวคิดและหลักธรรมวินัยการอภัยโทษในพระพุทธศาสนา เพื่อศึกษาแนวคิดและพัฒนาการอภัยโทษในสังคมไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และ เพื่อศึกษาวิเคราะห์การอภัยโทษในสังคมไทยตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนา การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยศึกษาจากพระไตรปิฎก คัมภีร์พระพุทธศาสนาอื่นๆ เอกสารวิชาการทางพระพุทธศาสนา งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และศึกษาจากภาคสนาม ด้วยการสังเกต และสัมภาษณ์ โดยใช้วิธีวิเคราะห์เชิงพรรณนา
ผลการวิจัยพบว่า แนวคิดและหลักธรรมวินัยการอภัยโทษในพระพุทธศาสนา ประกอบด้วย มรรคมีองค์ ๘ เป็นข้อปฏิบัติอันพอดีที่จะนำไปสู่จุดหมายแห่งความหลุดพ้น บุญกิริยาวัตถุ ๓ ทาน ทำให้คนเห็นแก่ตัวน้อยลง เป็นธรรมเบื้องต้นของการทำบุญ ศีล ๕ จัดว่าเป็นมหาทาน เป็นการให้ความปลอดภัย ไม่เบียดเบียนผู้อื่น สังคหวัตถุ ๔ เป็นธรรมที่ยึดเหนี่ยวและประสานใจหมู่ชนให้เกิดความสามัคคี พรหมวิหาร ๔ เป็นธรรมที่ผู้บริหารต้องประพฤติ ต่อมนุษย์สัตว์ทั้งหลายโดยชอบ สาราณียธรรม ๖ เป็นธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึง ทศพิธราชธรรมนั้นเป็นธรรมสำหรับพระเจ้าแผ่นดิน คุณสมบัติของนักปกครองที่จะสามารถปกครองแผ่นดินโดยธรรม จักรวรรดิวัตร ๑๒ วัตรของพระเจ้าจักรพรรดิ และราชสังคหวัตถุ ๔ เป็นหลักการสงเคราะห์ประชาชนของนักปกครอง การอภัยโทษมีหลักคิดมาจากหลักอภัยทานส่งเสริมให้เกิดคุณค่าในการพัฒนาคุณภาพจิต เป็นการสร้างพื้นที่ให้อารมณ์ที่เป็นกุศลในการเป็นจุดเริ่มใหม่ของมิตรภาพที่ยั่งยืนทั้งผู้ให้และผู้รับอภัยโทษ และเป็นการทำมหาทานสร้างมหากุศลที่ยิ่งใหญ่
แนวคิดและพัฒนาการอภัยโทษในสังคมไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันพระมหากษัตริย์ผู้ปกครองประเทศไทยได้ทรงยึดมั่นหลักเมตตาธรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นข้อปฏิบัติและบำเพ็ญทศบารมีมาช้านาน เช่น ในสมัยกรุงสุโขทัยมีการอภัยโทษโดยตรงกับราษฎร โดยยึดหลักพรหมวิหารธรรมและทศพิธราชธรรม กรุงศรีอยุธยาเป็นแบบเจ้ากับข้าแต่ยังคงยึดหลักทศพิธราชธรรม กรุงธนบุรีเป็นการใช้พระราชอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดรวมทั้งแบบพ่อปกครองลูก แต่ทรงยึดหลักทศพิธราชธรรมมาใช้ร่วมกัน กรุงรัตนโกสินทร์ใช้การอภัยโทษตามสมัยกรุงธนบุรีจนกระทั่งถึงรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่เริ่มมีการปฏิรูปกฎหมายและการศาล หลังจากปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย พระมหากษัตริย์ทรงใช้พระราชอำนาจการอภัยโทษตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ การพระราชทานการอภัยโทษในสังคมปัจจุบัน ใช้หลักเกณฑ์ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ภาค ๗ มี ๒ แบบ คือ การพระราชอภัยโทษเป็นรายบุคคลและเป็นการทั่วไป ความสำคัญของการอภัยโทษในประเทศไทยปัจจุบันยึดหลัก ๖ ประการ คือ หลักแห่งทาน หลักแห่งความเมตตาธรรมของผู้ปกครอง หลักแห่งความยุติธรรม หลักแห่งอาชญาวิทยาและทัณฑวิทยา หลักแห่งการบริหารกิจการราชทัณฑ์ และหลักแห่งความมั่นคงของประเทศ
การอภัยโทษในสังคมไทยตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนานั้น โดยรวมแล้วเป็นสิ่งที่มีความสัมพันธ์สอดคล้องกันมาตลอด ตั้งแต่สมัยอดีตจนถึงปัจจุบันคือต้องอิงอาศัยหลักเมตตาธรรม พระพุทธศาสนาค้นพบวิถีทางพัฒนาจิตวิญญาณ ซึ่งล้วนมุ่งลดความมีตัวตนหรือความเห็นแก่ตัว ประกอบด้วย การอยู่ร่วมกันที่ดี (ศีล) การทำจิตให้สงบ (สมาธิ) และรู้แจ้งเห็นจริง (ปัญญา) เป็นผลออกมาที่เรียกว่ากรรมหรือการกระทำนั้น จะมีตัวเจตนาเป็นตัวกำหนดทั้งสิ้น ทั้งในทางพระพุทธศาสนาและในทางกฎหมาย ส่วนอภัยทานกับการอภัยโทษคงมีความสัมพันธ์ที่สำคัญอย่างยิ่ง นำมาป้องกันและจัดการความขัดแย้งของสังคมไทยทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคตได้ อภัยทานเป็นสิ่งที่ทุกคนปฏิบัติได้จริง ซึ่งเป็นการพิสูจน์ (สันทิฏฐิโก) และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล (อกาลิโก) เป็นการใช้สติปัญญา เพื่อพัฒนาชีวิต พัฒนาจิตใจของเราให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น ให้ทันเหตุการณ์กับข้อเท็จจริงในยุคโลกาภิวัตน์
ดาวน์โหลด |