วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อการศึกษาเปรียบเทียบกระบวนการยุติธรรมในพระพุทธศาสนา โดยศึกษาเปรียบเทียบนิคหกรรมในพระวินัยปิฎกกับกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๒๑) ว่าด้วยการลงนิคหกรรม จากการศึกษาวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้พบว่า นิคหกรรมในพระวินัยปิฎกเป็นมาตรการทางพระวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้สงฆ์ใช้เป็นเครื่องข่ม กำราบ หรือลงโทษแก่พระภิกษุผู้ประพฤติผิดต่อพระธรรมวินัย หรือแก่คฤหัสถ์ผู้มีความปรารถนาที่ไม่ดีต่อพระรัตนตรัย โดยทรงวางกฎเกณฑ์การลงโทษแบบต่างๆ ตามสมควรแก่ความผิด ส่วนกฎนิคหกรรมของมหาเถรสมาคม อันได้แก่กฎมหาเถรสามคม ฉบับที่ ๑๑ นั้นเป็นมาตรการทางการปกครองคณะสงฆ์ที่มหาเถรสมาคมกำหนดขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือในการข่ม กำราบ หรือลงโทษพระภิกษุผู้ประพฤติผิดต่อพระธรรมวินัย โดนดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ กำหนดไว้ นิคหกรรมในพระวินัยปิฎกกับกฎนิคหกรรมของมหาเถรสมาคม มีความเหมือนกันในประเด็นต่อไปนี้ คือ ประเภทของนิคหกรรม ลักษณะของความผิดที่เป็นเหตุให้ถูกลงนิคหกรรม กฎนิคหกรรมในฐานะที่มีความสัมพันธ์กับศีลธรรมและจริยธรรม และกฎนิคหกรรมในฐานะที่เป็นกระบวนการกำราบหรือฝึกฝนบุคคลผู้เก้อยาก ส่วนประเด็นที่มีความแตกต่างกัน คือ วิธีการลงนคหกรรม วิธีการที่จะพ้นจากความผิดคุณสมบัติของผู้ตัดสินหรือพระวินัยธร และความถูกต้องตามพระธรรมวินัย นิคหกรรมในพระวินัยปิฎก พระพุทธเจ้าทรงกำหนดให้สงฆ์เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการดำเนินการทุกขั้นตอน จัดเป็นสังฆกรรมที่มีความสำคัญ สงฆ์จึงต้องดำเนินการให้เป็นไปตามวิธีการตามที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้ ส่วนกฎนิคหกรรมของมหาเถรสมาคมนั้น มหาเถรสมาคมได้กำหนดขั้นตอนต่างๆ ในการดำเนินการลงนิคหกรรมให้เป็นอำนาจหน้าที่ของพระสังฆาธิการที่มีตำแหน่งทางการปกครองคณะสงฆ์ตั้งแต่ระดับเจ้าอาวาสขึ้นไป เพียงรูปเดียวหรือ ๓ รูป ที่เรียกว่า "ผู้พิจารณาและคณะผู้พิจารณา" เทียบได้กับตำแหน่งผู้พิพากษาและคณะผู้พิพากษาของศาลฝ่ายบ้านเมือง ท่านไม่ได้กำหนดให้สงฆ์เป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการลงนิคหกรรมแต่อย่างใด ในปัจจุบันนี้ นิคหกรรมในพระวินัยปิฎกและกฎนิคหกรรมของมหาเถรสมาคม เป็นคู่มือสำคัญสำหรับการปกครองคณะสงฆ์ จำเป็นอย่างยิงที่พระสังฆาธิการ พระภิกษุสามเณรตลอดถึงพุทธศาสนิกชนทั่วไปจะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจเพื่อจะได้ปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้องต่อไป