บทคัดย่อ
วิทยานิพนธ์ เรื่อง “ศึกษาหลักการเจริญจตุรารักขกัมมัฏฐานในคัมภีร์พุทธศาสนา เถรวาท” มีวัตถุประสงค์ ๒ ประการ คือ ๑) เพื่อศึกษาหลักจตุรารักขกัมมัฏฐานในคัมภีร์พุทธศาสนาเถรวาท และ ๒) เพื่อศึกษาหลักการเจริญเมตตาภาวนา สำหรับการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา โดยศึกษาข้อมูลจากคัมภีร์พุทธศาสนาเถรวาท คือ พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และคัมภีร์อื่น ๆ รวมทั้งเอกสารที่เกี่ยวข้อง และเรียบเรียงบรรยายตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ
จากการศึกษาพบว่า กัมมัฏฐาน ๔ หมวด คือ ๑) พุทธานุสสติ การระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า ๒) อสุภกัมมัฏฐาน การพิจารณาร่างกายตนและผู้อื่น ว่าเป็นของไม่สวยไม่งาม ๓) มรณานุสสติ นึกถึงความตายอันจะมีแก่ตนเป็นธรรมดา ๔) การเจริญเมตตา การแผ่ไมตรีจิต คิดจะให้สัตว์ทั้งปวงเป็นสุขทั่วหน้า ได้ชื่อว่าจตุรารักขกัมมัฏฐาน เพราะกัมมัฏฐานทั้ง ๔ หมวดนี้ เป็นกัมมัฏฐานที่เกื้อหนุนและสนับสนุนกัมมัฏฐานหมวดอื่น ๆ ให้ปฏิบัติได้สะดวกได้ยิ่งขึ้น
จตุรารักขกัมมัฏฐาน เรียกอีกอย่างว่า สัพพัตถกกัมมัฏฐาน เป็นกัมมัฏฐานที่ต้องการในที่ทั้งปวง คือ เหมาะที่จะใช้เป็นพื้นฐานของการเจริญกัมมัฏฐานทุกอย่าง เป็นหลักปฏิบัติเบื้องต้น ที่ผู้เริ่มปฏิบัติควรกระทำเป็นอันดับแรก เพื่อเจริญคุณความดีที่ยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยความไม่ประมาท
สำหรับเมตตาภาวนานั้น พบว่าเมื่อปฏิบัติจนเกิดอุปจารสมาธิหรืออัปปนาสมาธิแล้ว จากนั้นผู้ปฏิบัติกำหนดองค์ฌานที่ ๓ หมายถึง ปีติ ความอิ่มในอารมณ์ ปราบความพยาบาท ได้แก่ ความเมตตานั่นเอง เพราะเมตตาเป็นปฏิปักษ์ต่อความโกรธ เมื่อเมตตาเกิดขึ้นแล้ว ผู้ปฏิบัติกำหนดองค์ธรรมดังกล่าวโดยความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดความรู้แจ้งในองค์ธรรม ซึ่งปัญญานี้เรียกว่าวิปัสสนาภาวนา การเจริญอย่างนี้ สมถะเกิดก่อนแล้ววิปัสสนาเกิดตามมา ท่านจึงกล่าวว่า การเจริญวิปัสสนาภาวนาโดยมีสมถะเป็นบาทฐาน
ดังนั้น ผู้เจริญวิปัสสนาที่มีอุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิเป็นบาท ชื่อว่า สมถยานิก หมายความว่า ผู้ปรารถนาจะบรรลุธรรม ควรพยายามเจริญฌานขั้นใดขั้นหนึ่งในฌาน ๔ ในปัจจุบันขณะ ให้เกิดความชำนาญเพื่อใช้เป็นบาทของวิปัสสนา ซึ่งการปฏิบัติอย่างนี้ย่อมทำให้มรรคผลเกิดขึ้นได้
ดาวน์โหลด |