เข้าชม : ๑๙๙๘๕ ครั้ง |
ศึกษาวิเคราะห์อุเบกขาในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ตามแนวสติปัฏฐาน ๔ |
|
ชื่อผู้วิจัย : |
พระมหาณัชพล พนฺธญาโณ (นราวงษ์) |
ข้อมูลวันที่ : ๑๔/๐๘/๒๐๑๓ |
ปริญญา : |
พุทธศาสตรมหาบัณฑิต(วิปัสนาภาวนา) |
คณะกรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์ : |
|
พระมหาสุรชัย วราสโภ ป.ธ.๗, พธ.บ., M.A., Ph.D. |
|
พระมหาบุญเลิศ ธมฺมทสฺสี ป.ธ.๘, พธ.บ., พธ.ม. |
|
ผศ.เวทย์ บรรณกรกุล ป.ธ.๙, พธ.บ., ศษ.ม. |
วันสำเร็จการศึกษา : |
|
|
บทคัดย่อ |
บทคัดย่อ
วิทยานิพนธ์เรื่องศึกษาวิเคราะห์อุเบกขาในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาตามแนว สติปัฏฐาน ๔ มีวัตถุประสงค์ของการศึกษา ๓ ประการ คือ เพื่อศึกษาการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ที่มีปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท เพื่อศึกษาอุเบกขาที่มีปรากฏในหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา และเพื่อศึกษาวิเคราะห์การเจริญอุเบกขาในสติปัฏฐาน ๔ โดยการเป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพวิเคราะห์เอกสาร คือ ศึกษาข้อมูลจากคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และคัมภีร์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ผลการศึกษาวิเคราะห์พบว่า การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา คือการปฏิบัติที่เป็นไปตามหลักสติปัฏฐานทั้ง ๔ คือ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือการพิจารณาเห็นกาย ในกาย เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือการพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือการพิจารณาเห็นจิตในจิต ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือการพิจารณาเห็นธรรมในธรรม แม้ในพระไตรปิฏกจะมีเรื่องกล่าวถึงผู้ฟังธรรมแล้วบรรลุธรรมเมื่อฟังจบ แต่ไม่มีใครบรรลุธรรมโดยมิได้เจริญสติปัฎฐาน ๔ อย่างใดอย่างหนึ่ง ความจริงแล้วทุกคนต้องบรรลุธรรมด้วยการเจริญสติปัฎฐานอันเป็นทางสายเดียวนี้ เพราะวิปัสสนาญาณและมรรคญาณเป็นปัญญาที่เกิดจากการอบรมจิต เมื่อจิตระลึกรู้สภาวธรรมล้วนๆ และมีสมาธิตั้งมั่นอยู่ในสภาวธรรม ปัญญาที่เกิดร่วมกับสติและสมาธิย่อมจะพัฒนาแก่กล้าขึ้นตามลำดับปัญญาดังกล่าวเรียกว่า ภาวนามยปัญญา คือ ปัญญาเกิดจากการอบรมจิต
ผู้วิจัยได้ศึกษา ค้นพบว่า อุเบกขามี ๑๐ ประการด้วยกัน แต่ศึกษาเฉพาะกรณีอุเบกขาสัมโพชฌงค์พบว่าโพชฌงค์ ๗ ประการ มีอุเบกขาสัมโพชฌงค์เป็นที่สุดนี้ มีความเกี่ยวเนื่องกันตรงตามหลักในมหาสติปัฏฐานสูตรทีฆนิกายมหาวรรค พระพุทธองค์ตรัสหลักการปฏิบัติในเรื่องนี้ว่า ให้การกำหนดรู้ธรรมในธรรม หมายความว่า เมื่อเกิดสติกำหนดรู้กาย และใจ ตามเป็นจริงอยู่ ให้รู้อาการนั้นให้ชัดเจนอย่างจดจ่อต่อเนื่องจนเห็นความเป็นจริงในกายใจนั้น โดยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่มีตัวตน การเห็นความจริงอย่างนี้ส่งผลให้เกิดความรู้ในกายใจตามเป็นจริง กระบวนของความรู้นี้ชื่อว่า สัมโพชฌงค์ คือ เมื่อระลึกย่อมเกิดปัญญา เมื่อเกิดปัญญาย่อมเกิดความเพียรกล้า เมื่อเกิดความเพียรกล้า ย่อมเกิดความอิ่มใจเข้าใจธรรม เมื่อเกิดความอิ่มใจจึงเกิดความสงบสุขกายสุขใจ เมื่อมีความสุขกายสุขใจจึงเกิดสมาธิความตั้งมั่น เมื่อเกิดความตั้งมั่นในกายใจตามเป็นจริง จึงเกิดความปล่อยวางเรียกว่า อุเบกขา เมื่อเกิดอุเบกขาแล้ว กระบวนในโพชฌงค์ ๗ ก็จะดำเนินไปอย่างบริบูรณ์สมบูรณ์ขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงความพ้นทุกข์ เพราะกระบวนการของโพชฌงค์ ๗ นี้จัดอยู่ในฝ่ายของความรู้ที่นำพาไปสู่ความพ้นทุกข์จริง คือ นิพพาน
ดาวน์โหลด |
|
|