ธรรมสำหรับการรักษาใจ
โดย พระปลัดอุดร อุตฺตรเมธี*
จากเหตุการณ์อุทกภัยน้ำท่วม ที่เกิดขึ้นที่ จังหวัดแพร่,อุตรดิตถ์ และสุโขทัย เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๐ ทำให้เกิดความสูญเสียอย่างยิ่งใหญ่ในด้านทรัพย์สิน และมีผู้เสียชีวิตอีกจำนวนหนึ่ง ตลอดจนถึงการบอบซ้ำทางด้านสภาพจิตใจของประชาชน โดยเฉพาะหมู่บ้านาตอง บ้านน้ำกาย บ้านกวาง และบ้านใน ช่อแฮ และหมู่บ้านอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก
สภาพสังคมไทยภายใต้การหล่อหลอมของพระพุทธศาสนา ซึ่งสอนให้ช่วยเหลือเกื้อกูลและสงเคราะห์แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากที่ประสบความเดือดร้อน ทำให้สายธารน้ำใจหลั่งไหลช่วยเหลืออย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งภาคราชการ รัฐวิสาหกิจ เอกชน ประชาชน และคณะสงฆ์ ต่างเร่งให้ความช่วยเหลือทุกวิถีทาง เพื่อให้การทำงานฟื้นฟูสภาพของหมู่บ้านต่างๆ ในจังหวัดแพร่ กลับฟื้นคืนมาโดยเร็วไว น้ำใจอันงดงามของคนไทยในครั้งนี้ เป็นที่ปรากฏเชิดชูแก่คนไทยทั้งชาติที่ได้ช่วยเหลือกัน โดยไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะในสังคม สมกับคำภาษิตที่ว่า น้ำบ่อน้ำคลอง ยังเป็นรองน้ำใจ น้ำที่ไหนหรือจะสู้น้ำใจจากคนไทยด้วยกัน
ภายในความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ต่อครอบครัวผู้ประสบอุทกภัยอย่างใหญ่หลวงนี้ สิ่งที่น่าเป็นห่วงและวิตกกังวลอย่างที่สุดคือ สภาพจิตใจของผู้ประสบภัย เพราะต่างตกอยู่ในอาการอันหวาดผวา ซึมเศร้า กับเหตุการณ์ในครั้งนี้
บทบาทของพระสงฆ์ที่ศึกษาอยู่ในสถาบันสงฆ์ คือ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตแพร่ ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ให้กำลังใจต่อผู้ประสบภัยครั้งนี้ หลายครั้งหลายครา ตั้งแต่วันแรกที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น เพื่อเป็นการปลุกปลอบใจในยามวิกฤติ เหมือนเหนึ่งว่า เวลาที่พุทธศาสนิกชนได้รับความลำบากเดือดร้อน พระสงฆ์ก็มีความทุกข์ใจ คอยให้กำลังใจ และได้น้ำข้าวสารอาหารแห้ง ไปปลอบประโลมใจ ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เพื่อฟื้นฟูรักษาสภาพจิตจิตที่หวาดผวา หวาดกลัว ให้กลับมาสู่สภาพเดิม ถึงแม้ว่าจะเป็นการฟื้นฟูที่ต้องอาศัยระยะเวลานานก็ตาม
ในยามวิกฤติ คนไทยทุกคนไม่ทอดทิ้งกัน ให้กำลังใจต่อกัน มีน้ำใจหลั่งไหลมาจากทุกสารทิศ ดังภาษิตนิโตปเทศที่ว่า
ในยามวิบัติ จะเห็นน้ำใจของมิตร
ในยามมีศึกประชิต จะเห็นน้ำใจทหาร
ในยามสิ้นทรัพย์ จะเห็นน้ำใจภรรยา
ในยามอนาถา จะเห็นน้ำใจของญาติ
ในยามประสบปัญหามรสุมชีวิต เราต้องไม่ปล่อยให้ใจตก ต้องรักษาใจไว้ ความเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดา ข้อสำคัญคืออย่าให้เสียกำลังใจ พยายามรักษากำลังใจ ในสภาพการณ์ต่างๆ ไว้ได้ ให้สามารถที่จะแยกแยะว่า จุดไหนดีจุดไหนด้อย อย่ามองจุดที่ทำให้มืดมิดหมดความหวังอย่างเดียว มองหาปลายทางที่จะทำให้เราพ้นจากอุโมงค์ที่มืดมิดให้พบ เหมือนกับคนที่ติดอยู่ในกองหิมะ ที่ถล่มลงมาทับ เขาจะขุดคุ้ยหิมะหาทางออก ตอนแรกภายใต้กองหิมะ จะมืดมากก็จริง แต่เมื่อขุดคุ้ยไปถึงจุดหนึ่งจะเห็นแสงเรืองรองรำไรในอีกด้านหนึ่ง นั้นแสดงว่าใกล้ทางออกเพราะหิมะเหลืออยู่น้อยจนแสงจากด้านนอกลอดผ่านเข้ามาเห็นเรืองรอง นั่นคือ ปลายอุโมงค์ที่เขาจะขุดต่อไปให้ถึง
ในยามวิกฤติ เราจะรักษาใจให้เข้มแข็งอยู่ได้อย่างไร เป็นคำถามที่ทุกท่านต้องค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง โดยไม่ทิ้งใจให้ห่างจากธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์ตรัสว่า ในยามปกติ ให้ดูใจของเราไว้ สร้างกระจกใจ ทุกคนมีเวลาแต่งตัว เรามีกระจกส่องหน้า แต่เราไม่เคยส่องใจของเราเอง กระจกส่องใจนี้ ภาษาบาลีเรียกว่า ธรรมทาส แปลว่า กระจกคือธรรมะ เพ่งดูใจเราเองว่า ตอนนี้เป็นอย่างไร เมื่อเกิดวิกฤติด้านอุทกภัยน้ำท่วม ใจเราท้อถ้อยหรือหมดกำลังใจหรือไม่ เมื่อถูกขัดขวางกีดกัน ในที่ทำงาน เรายกธงขาวหรือยัง เมื่อใช้กระจกส่องใจแล้วเห็นว่าเรากำลังท้อแท้จนไม่อยากทำอะไรแล้ว เราจะปล่อยให้เป็นอย่างนั้นต่อไปไม่ได้ เพราะจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่ เหมือนกับคนที่คิดฆ่าตัวตายก็เริ่มจากความหมดหวังท้อแท้ พอแยกตัวจากคนอื่นก็คิดมากอยู่คนเดียว ไม่ช้าไม่นานเขาก็จะคิดทำร้ายตัวเอง ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเขาไม่รู้จักใส่เบรกช่วยตัวอง นั่นคือการสร้างกระจกส่องใจ ถ้าเห็นว่าจิตตก ต้องยกจิต ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ลีเน จิตฺตมฺหิ ปคฺคาโห เมื่อจิตตก ให้ยกจิต คือปลุกใจเราขึ้นมา แต่ถ้าจิตเกิดความประมาทมัวเมา จิตฟุ้งซ่านเหินลอยเกินไป ท่านให้ข่มจิตลงมา ดังบาลีว่า อุทฺธตฺมึ วินิคฺตโห เมื่อจิตเหินลอยฟุ้งซ่าน ให้ข่มลงมา
การจะรักษาสภาพจิตใจให้เป็นปกติได้ ก็ต้องอาศัยการให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่
* พธบ.,M.A, ผู้อำนวยการสำนักงานวิทยาเขตแพร่ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตแพร่
|