วันนี้ (11 ส.ค.) เมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ ลง ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชทานพระราชวโรกาสให้คณะบุคคล ประกอบด้วย คณะรัฐมนตรี ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ นิสิต นักศึกษา พ่อค้า ประชาชน และผู้แทนมูลนิธิ สมาคม สโมสร องค์การต่างๆ รวม 474 คณะ จำนวน 15,455 คน เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 12 สิงหาคม 2550 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชดำรัสแก่คณะบุคคล ดังต่อไปนี้ ข้าพเจ้าขอขอบใจท่านนายกรัฐมนตรี ผู้นำหน่วยราชการต่างๆ ด้านบริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ ทหาร ตำรวจ พลเรือน ผู้แทนขององค์กรภาครัฐและเอกชนทั้งหลาย ตลอดจนกลุ่มประชาชนจากทั่วพระราชอาณาจักรที่มาร่วมอวยพรและแสดงไมตรีจิตต่อข้าพเจ้า เนื่องในโอกาสคล้ายวันเกิดครบ 75 ปีบริบูรณ์ ณ ศาลาดุสิดาลัย ในวันนี้ ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีได้เป็นผู้แทนกล่าวอวยพรเป็นกำลังใจอย่างยิ่งแก่ข้าพเจ้า ท่านนายกฯ สุรยุทธ์ ได้ให้กำลังใจแก่ข้าพเจ้าหลายอย่าง เช่น ที่ภาคใต้ 3 จังหวัดภาคใต้ เวลาที่เจ้าหน้าที่ทหารได้รับบาดเจ็บ เจ้าหน้าที่ตำรวจถึงแก่ชีวิตไป ท่านนายกรัฐมนตรีก็พยายามช่วยเหลือ ตั้งทุนช่วยเหลือครอบครัวของผู้ที่รับใช้ประเทศชาตินี้ เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าชื่นใจ ดีใจที่สุด ดีใจแทนทหาร ตำรวจที่ปฏิบัติในที่ที่ยากลำบากและอันตราย นายกรัฐมนตรีผู้เป็นผู้บริหารประเทศทราบข้อนี้ดี ก็พยายามดูแล ทำนุบำรุงผู้ที่เสียชีวิตไป คือครอบครัวของเขาที่น่าสงสารจะต้องแตกแยกไปแล้วก็ประสบกับความไม่มั่นคงของชีวิต แต่ท่านนายกฯ สุรยุทธ์ ก็ก้าวเข้ามาช่วยตั้งทุน เพิ่งเริ่มก็จริงอยู่แต่ว่าคิดว่าทุนนี้ ต่อไปก็จะเป็นกำลังใจ และเป็นทุนที่ทำให้เด็กเล็กๆ ทั้งผู้หญิงผู้ชายมีอนาคตที่มั่นคงแน่นอน อย่างน้อยในการศึกษาเล่าเรียนได้เต็มที่ นอกจากจะขอบใจทุกท่านที่มาร่วมชุมนุม ณ ที่นี้แล้ว ข้าพเจ้าต้องขอขอบใจผู้ที่อวยพรข้าพเจ้าผ่านทางโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือต่างๆ เป็นจำนวนมาก ทุกวันนี้ข้าพเจ้าดูโทรทัศน์อยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะรายการอวยพรข้าพเจ้ายิ่งตั้งใจดูเป็นพิเศษ ดูมานานหลายวันแล้วด้วย เช่น ของช่อง 11 มีตั้ง 200 กว่าคณะที่มากล่าวอวยพร บางคนก็ส่งพานพุ่ม ดอกไม้ มาที่สวนจิตรลดา เป็นกำลังใจให้ข้าพเจ้าล่วงหน้า ข้าพเจ้าซาบซึ้ง ขอขอบคุณทุกๆ คนมาก ต่อไปก็ขอกล่าวขอบใจผู้ที่ทำประโยชน์เพื่อสังคม ประกอบคุณงามความดีและบำเพ็ญกุศลนานาประการเพื่อข้าพเจ้า เช่น หลังจาก พ.ศ.2540 มีประชาชนตกงานกันมาก ข้าพเจ้าได้ขอให้ทางสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดเลี้ยงอาหารแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก ทำนองเดียวกันกับสมัยพุทธกาล ซึ่งข้าพเจ้าชอบอ่านชอบค้นอ่านดูสมัยพุทธกาลทำกันอย่างไรบ้าง ที่มีผู้ใจบุญจัดตั้งโรงทานเลี้ยงอาหารคนยากคนจน สภาพสังคมสงเคราะห์ได้ช่วยมากกว่าสมัยพุทธกาล คือไปให้การสงเคราะห์ด้านอื่นๆ อีกด้วย เช่น เชิญแพทย์มาตรวจสุขภาพ มีนักกฎหมายมาให้คำปรึกษาเรื่องกฎหมาย มีบริษัทห้างร้านมารับสมัครงาน มีบริการตัดผมให้ สภาสงคมสงเคราะห์ตั้งชื่อโครงการนี้ว่า โครงการน้ำพระทัยพระราชทาน มีผู้ใจบุญมาร่วมงานมาก บางคนมีกำลังทรัพย์ก็ช่วยบริจาคทรัพย์ สิ่งของ ที่มีกำลังสติปัญญา ก็มาให้ความรู้ ให้คำปรึกษา ที่อุทิศกำลังกายเข้ามาช่วย มาประกอบเกี่ยวกับทำอาหาร และล้างจาน ก็มี ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าชื่นใจ และชื่นชมในความมีน้ำใจ ไม่ทอดทิ้งราษฎร์ในยามทุกข์ยากของคนไทย และโครงการนี้ก็ยังดำเนินการสืบเนื่องมาจนทุกวันนี้ มีประชาชนได้รับความช่วยเหลือไปแล้วหลายแสนคน คณะแพทย์และพยาบาลของโรงพยาบาลรามาธิบดี ได้จัดทำโครงการเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกช่วยเหลือเด็กยากจน ที่ป่วยเป็นโรคร้ายในกลุ่มโรคเลือด และโรคต่อมน้ำเหลือง หลายโรค ตั้งแต่ พ.ศ.2547 มาจนถึงปัจจุบัน โดยอุทิศแรงกายแรงใจทำงานกันอย่างอดทน เพราะแต่ละโรครักษายากทั้งนั้น โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งเข้าร่วมโครงการผ่าตัดหัวใจเด็กเฉลิมพระเกียรติ ช่วยเหลือเด็กยากจนที่ต้องรอการผ่าตัดจากโรงพยาบาลของรัฐนานเป็นปีๆ ให้ร่นระยะเวลาเข้ามาจนเหลือ รอรายละประมาณ 3-4 เดือน เพื่อไม่ให้สุขภาพของเด็กทรุดโทรมมาก หรือเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ขึ้นมาเสียก่อน เท่าที่ทราบ มีเด็กได้รับการผ่าตัดไป 200 กว่ารายแล้ว นี่เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนของน้ำใจที่คนไทยมีให้แก่กัน และนับเป็นของขวัญวันเกิดที่ล้ำค่าสำหรับข้าพเจ้า ขอขอบใจแทนคนไทยทุกคน ที่ได้รับน้ำใจและความกรุณาจากท่านทั้งหลาย และขออนุโมทนาในจิตอันเป็นกุศลของทุกท่าน หวังว่าทุกท่านคงจะหายเหนื่อยทันที่ ที่เห็นคนไข้หายป่วย หรือคนยากคนจนหายหิว อันนับเป็นกุศลที่ตอบสนองน้ำใจงดงามของท่าน อย่างทันตาเห็น ข้าพเจ้าขอโทษด้วยที่เสียงบางทีก็แหบ บางทีก็หายไป เพราะกลับจากไปต่างประเทศแล้ว ก็เป็นไข้หวัด พอเสร็จจากไข้หวัดก็เป็นหลอดลมอักเสบ ตอนนี้ยังไม่หายอักเสบดี เสียงก็เลยแหบเป็นเป็ดหน่อย ต่อไปจะเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ท่านทั้งหลายฟัง เริ่มด้วยเมื่อเดือนที่แล้ว วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม 2550 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ข้าพเจ้า เป็นผู้แทนพระองค์ไปเยือนสหพันธ์รัสเซียอย่างเป็นทางการ ตามคำกราบบังคมทูลเชิญ ของประธานาธิบดีปูติน แห่งสหพันธ์รัสเซียระหว่างวันที่ 2-11 กรกฎาคม 2550 ตรงกับโอกาสที่รัฐบาลรัสเซีย จัดงานฉลองครบ 110 ปี ความสัมพันธ์ของไทย และรัสเซีย ซึ่งเริ่มตั้งแต่สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยือนรัสเซีย เมื่อพุทธศักราช 2440 ข้าพเจ้าได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นตั้งแต่วันแรกที่ไปถึง มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาภูมิภาคสหพันธ์รัฐรัสเซีย เป็นผู้แทนรัฐบาลรัสเซียคอยต้อนรับ และยังมีอธิบดีกรมพิธีการทูต คอยดูแลแนะนำข้าพเจ้าระหว่างที่มีพิธีการต้อนรับ มีการตรวจแถว มีพิธีสวนสนามของกองทหารเกียรติยศ ซึ่งทหารรัสเซียเดินอย่างสง่างามเป็นระเบียบ ท่าทางเข้มแข็ง ประธานาธิบดีจัดให้ข้าพเจ้าพักในพระราชวังเคลมลิน วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม 2550 ข้าพเจ้าได้ไปยังอนุสรณ์สถานทหารนิรนามสงครามโลกครั้งที่ 2 วางพวงมาลาเพื่อแสดงความเคารพทหารนิรนามที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อวางพวงมาลาแล้ว ก็มีพิธีสวนสนามของกองทหารเกียรติยศด้วย ต่อจากนั้นข้าพเจ้าไปยังจัตุรัสแดง และวิหารเซ็นเบซิล จัตุรัสแดงเป็นสถานที่ที่สำคัญ เป็นลานหินยาว ตั้งอยู่ใจกลางกรุงมอสโก บริเวณโดยรอบมีวิหารเซ็นต์เบซิล ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงมากของรัสเซีย สร้างด้วยอิฐสีแดง มีโดมทรงหัวหอม และยังเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์วีรบุรุษของรัสเซีย มีหอคอยที่สูงที่สุดของพระราชวังเคลมลิน และได้ไปดูพิพิธภัณฑ์ในพระราชวังเคลมลิน ซึ่งมีโบสถ์อะสัมชัน มีภาพเขียนบนฝาผนังสวยงาม และพิพิธภัณฑ์ศาสตราวุธ อันได้ชื่อว่า เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของรัสเซีย เป็นที่เก็บสมบัติล้ำค่าของพระเจ้าแผ่นดินรัสเซียทุกสมัย เป็นที่รวบรวมเครื่องเพชรนิลจินดา เครื่องราชอิสริยาภรณ์ เครื่องราชกกุธภัณฑ์ เครื่องราชูปโภค ฉลองพระองค์ รถม้าทรง และพระแสงศาสตราวุธต่างๆ ไปดูพระคลังมหาสมบัติ ซึ่งเก็บพระมหามงกุฎ เครื่องเพชรของพระราชวงศ์ ซึ่งปกติยังไม่อนุญาตให้มีการถ่ายภาพใดๆ แต่ได้อนุญาตเป็นกรณีพิเศษให้ถ่ายภาพและทำข่าวได้ในครั้งนี้ วันพุธที่ 4 กรกฎาคม ไปดูหอศิลป์เตรติยาคอฟ เป็นที่แสดงงานศิลปะที่มีชื่อเสียงของรัสเซีย เช่น งานศิลปะที่เล่าถึงประวัติศาสตร์ของรัสเซีย และภาพวาดของจิตรกรที่มีชื่อเสียงชาวรัสเซีย ข้าพเจ้าได้พบคนไทย และนักเรียนไทยที่พำนักอยู่ในรัสเซีย โดยเฉพาะนักเรียนไทยหลายคนได้ไปประจำอยู่ที่พักของข้าพเจ้าเพื่อช่วยในการติดต่อ เพราะว่าภาษารัสเซียเป็นภาษาที่ยากพอใช้ นักเรียนไทยก็เลยไปช่วย และอยู่ช่วยทุกตึกที่คณะของข้าพเจ้าไปพักอยู่ นักเรียนไทยของเราเก่งมาก ภาษารัสเซียนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รับสั่งกับข้าพเจ้าว่า เป็นภาษาที่ยากที่สุด แต่นักเรียนไทยเก่ง ขยัน สติปัญญาดี ได้เหรียญทอง ได้เกียรตินิยม ซึ่งเป็นที่ประทับใจของคนรัสเซียมาก อย่างนักเรียนไทยไปได้เหรียญทองที่ 1 ของนักเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นๆ ก็เป็นที่น่าชื่นชม คนรัสเซียบอกคนไทยนี่เก่งมาก ฉลาดมาก ข้าพเจ้าเชื่อเพราะว่าภาษารัสเซียนั้นยากที่สุด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รับสั่งอย่างนั้น ตอนค่ำได้ไปดูบัลเลต์ชุดสวอลเลคอันมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกของรัสเซีย ที่โรงละครบอลซอย เธียเตอร์ วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม 2550 ประธานาธิบดีเลี้ยงอาหารค่ำ อย่างเป็นทางการในพระราชวังเคลมลิน พิธีต้อนรับของประธานาธิบดีโก้มาก ข้าพเจ้าเดินเข้าไปพบกับประธานาธิบดีตรงกลางห้องพอดี ซึ่งมีธงชาติของทั้ง 2 ประเทศ เรียกว่าต่างคนต่างเดินมาคนละมุมแล้วมาพบกันตรงกลางห้องที่มีธงชาติของ 2 ประเทศ ข้าพเจ้าได้นำตัวแทนนักเรียนศิลปาชีพจากแผนกต่างๆรวม 5 คน พร้อมผลิตภัณฑ์ศิลปาชีพ เช่น เรือทองคำ สัปคับสลักไม้จำลอง นกยูงทองคำ ขันหงส์ทองใบใหญ่ เรือพระที่นั่งศรีพระสุพรรณหงส์จำลอง ไปจัดแสดงที่ห้องมาลาไคท์ ให้ประธานาธิบดี และแขกที่ได้รับเชิญมางานเลี้ยงได้ชมด้วย เมื่อคราวเดือนตุลาคม 2546 ประธานาธิบดีปูตินได้มาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ และแสดงความสนใจขอชมโรงฝึกศิลปาชีพที่สวนจิตรลัดดา ใช้เวลาชื่นชมอยู่กว่าชั่วโมง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เป็นผู้นำชม พอพบกับข้าพเจ้าที่งานพระราชทานเลี้ยง ที่พระที่นั่งจักรีฯ ประธานาธิบดีปูตินก็หันมาพูดกับข้าพเจ้าว่า ที่ท่านตั้งมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพนี้ขึ้นเนี่ย เพื่อต่อสู้กับความยากจนใช่ไหม ข้าพเจ้าบอกใช่ เพราะว่าเมืองไทยเดี๋ยวนี้ประชาชนมากเหลือเกิน 65 ล้าน แล้วก็รอบๆ ชายแดนก็ยังมีคนที่ยากจนมาก จึงคิดว่าต้องพยายามหาอาชีพให้เขาทำให้ทุกคนมีงานทำ โดยเสริมสร้างให้เขามีความรู้ ความชำนาญในการทำศิลปะหลายอย่างที่กำลังจะสูญหายไปจากประเทศไทย ซึ่งเป็นของไทยแท้ๆ ไม่มีที่อื่นในโลก ข้าพเจ้าก็คิดว่าพวกสมาชิกที่ศิลปาชีพได้ทำสำเร็จโดยสิ้นเชิงแล้ว เพราะเวลานี้ของเหล่านี้ได้ไปแสดงอยู่ที่มิวนิก ที่พิพิธภัณฑ์ที่มิวนิก ประเทศเยอรมนี แล้วก็ได้รับข่าวว่ามีคนเข้าไปชมเป็นจำนวนมากตลอดเวลา ก็ทำให้นักเรียนศิลปาชีพ ซึ่งข้าพเจ้าชวนไปด้วย ได้ไปเห็นผลงานของเขา ที่ตั้งใจรักษาศิลปะของประเทศ ให้คงอยู่นั่น บัดนี้เป็นผลสำเร็จแล้ว ด้วยฝีมือของคนไทยแท้ๆ ชาวต่างประเทศที่ได้ชมฝีมือของศิลปาชีพจะถามว่าฝีมือเหล่านี้สำเร็จด้วยจากนักเรียนมหาวิทยาลัยศิลปะหรือ ข้าพเจ้าตอบว่าเปล่าเลย คนเหล่านี้เป็นลูกชาวไร่ชาวนาที่ยากจนที่สุด และที่ข้าพเจ้าเลือกมาเป็นพิเศษ เลือกจากความยากจน ใครครอบครัวไหนยากจนที่สุด แล้วมีลูกมากที่สุด จะเลี้ยงตัวเองไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงเลือกมาแล้วมาอยู่ในพระบรมมหาราชวัง ที่ตึกเก่าๆ ที่ดั้งเดิมเป็นที่อยู่ของเจ้านายต่างๆ มากมายก่ายกอง ข้าพเจ้าให้เขาอยู่ที่นั่น แล้วมาทำการฝึกฝนที่จิตรลดา ในเรื่องเกี่ยวกับถมทอง แล้วก็การแกะสลักแบบไทยต่างๆ แล้วก็อะไร จรุงจิตต์อยู่ไหน คร่ำ ตอนนี้ชักจะแสดง 75 ฝีมือคร่ำ ข้าพเจ้าเกิดมายังไม่เคยได้ยินชื่อเลย ปรากฏว่าไปพบคนแก่มากแล้ว 70 ที่ในวังหลวง ที่ทำคร่ำบนดาบ แกอายุ 70 กว่าแล้วแต่พยายามสอน แต่มีความคิดเห็นขัดแย้งกับข้าพเจ้าว่าลุงจะบอกว่าพระราชินีนี่แปลกจริง คร่ำเขาทำบนเหล็กที่ดาบเท่านั้นเอง นี่พระราชินีจะทำให้แต่งที่โน้นแต่งที่นี่ อะไรต่างๆ ท่านแปลกจริงๆ เราก็เห็นว่าลุงแกแปลก ทำไมถึงไม่พยายามรักษาคร่ำ วิชาการคร่ำ จะทำเฉพาะที่ดาบอยู่อย่างนี้ ก็ทะเลาะกันอยู่พักนึง ในที่สุดแกก็ยอม วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม 2550 เป็นวันที่ข้าพเจ้าเดินทางจากกรุงมอสโกไปยังนครเซนต์ปีเตอร์เบิร์กส มีพิธีส่งอย่างเป็นทางการ ที่สนามบิน ตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ และมีการสวนสนาม ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งในการสวนสนาม รู้สึกว่าสง่าเหลือเกิน และงดงามมาก ไม่ทราบว่าทหารหน่วยใด แต่มาคอยต้อนรับเวลาแขกเมืองมาเยี่ยมรัสเซีย หลังจากเสร็จการอื่นแล้วเขาจะเชิญแขกเมืองไปยืนอยู่ในที่ที่ เพื่อเกียรติยศ และทหารรัสเซียจะสวนสนาม ซึ่งโก้เหลือเกินโก้มาก ไม่เคยพบเคยเห็นที่ไหน มีการสวนสนาม เช่น ตอนมาถึง โดยมีผู้แทนรัฐบาล คนที่มารับคือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาภูมิภาค เป็นผู้แทนรัฐบาลมาส่ง ซึ่งท่านเป็นคนที่ดูน่ารักที่สุด และคอยระมัดระวังคอยแนะนำข้าพเจ้าให้ยืนตรงไหน คอยกระซิบ และหนหนึ่งลงแรงเหลือเกิน ข้าพเจ้าซึ่งก็อ้วนขนาดนี้ก็ยังเซ รัฐมนตรีรีบเอื้อมมือมาประคองกลัวจะล้มลงไป เมื่อถึงนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ผู้ว่าการนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เป็นผู้หญิง ชื่อ มิสซิสวาเลนตินา อินเนิฟนามัถยินเวนนโก มาคอยรับ และก็ได้ทราบข่าวว่าผู้ที่มารับข้าพเจ้าที่เป็นผู้ว่าราชการนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ต่อไปก็มีหวังอาจจะเป็นประธานาธิบดีหญิงของรัสเซียก็เป็นได้ นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เคยเป็นเมืองหลวงของรัสเซียมาก่อน นับได้ว่าเป็นเมืองที่สวยงามที่สุดเมืองหนึ่งของยุโรป และได้รับการยกย่องจากยูเนสโก ให้เป็นมรดกโลกด้วย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เคยเสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ พระราชวังปีเตอร์ฮอร์บ ข้าพเจ้าได้ดูแต่ข้างนอกและได้ทรงฉายพระบรมฉายาลักษณ์คุ๋กับพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2440 ซึ่งมีความสำคัญต่อประเทศไทยอย่างยิ่ง ในประวัติศาสตร์ทางการทูต จากสนามบินข้าพเจ้าเดินทางไปยังอนุสรณ์สถานวีรชนผู้ปกป้องกรุงเลนินกราด ซึ่งเป็นที่ระลึกถึงทหารและประชาชนผู้เสียสละชีวิตปกป้องกรุงเลนินกราด ก็คือเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อวางกระเช้าดอกไม้ ข้าพเจ้าจะเดินอยู่ตรงกลางข้างหลัง และมีทหารซึ่งโก้มากเลย 2 คน เชิญกระเช้าดอกไม้ โชว์ขึ้นระดับอกของเขา และก็เดินไปกับเพลงเป็นพิเศษของเขาตามจังหวะสง่างามมาก และข้าพเจ้าก็เดินอยู่ข้างหลังของทหารนี้ พอถึงที่หมายทหารเขาก็จะไปวางกระเช้าดอกไม้ หรือช่อดอกไม้อะไรก็ตามที่หน้าอนุสาวรีย์แล้วก็ถอยมาให้ข้าพเจ้าเดินเข้าไปแตะที่กระเช้าดอกไม้นั้น และถอยหลังมายืนสงบระลึกถึงวีรกรรมของทหารและประชาชนที่เสียสละชีวิตปกป้องกรุงเลนินกราด ที่นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กนี้ ทางรัฐบาลรัสเซียให้ข้าพเจ้าพักแนสเรอร์คอนเพรสแพริส วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม 2550 ผู้ว่าการนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เลี้ยงอาหารค่ำข้าพเจ้าที่พระราชวังปีเตอร์ฮอร์บ โดยพยายามจัดบรรยากาศในงานเลี้ยงให้เหมือนครั้งที่พระเจ้า ซาร์ส นิโคลัส ที่ 2 ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้งโต๊ะอาหาร ผู้เสิร์ฟอาหาร แต่งกายเหมือนในสมัยนั้น โดยเฉพาะอาหารเป็นอาหารอย่างเดียวกันไม่มีผิด ดนตรีก็เล่นเพลงชุดเดียวกัน เรียกว่าทุกอย่างย้อนยุคไป 110 ปี เลยทีเดียว อาหารก็อร่อยมาก ข้าพเจ้าชอบมากคือ เนื้อเป็นนกชนิดหนึ่ง กับตับเป็ด อร่อยมา ซึ่งถวายเลี้ยงรัชกาลที่ 5 ซึ่งเข้าใจว่าคงจะเห็นว่าอร่อยเช่นเดียวกัน ก่อนงานเลี้ยงผู้ว่าการนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ได้นำข้าพเจ้าชมห้องต่างๆ ของพระราชวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ห้องที่จัดแสดงสิ่งของส่วนพระองค์ ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ทรงใช้ในที่ประทับระหว่างเสด็จเยือนรัสเซียเมื่อ 110 ปี มาแล้ว โดยที่ทางรัสเซียยังเก็บรักษา และนำมาให้ข้าพเจ้าดูอย่างน่าชื่นชม หลังจากงานเลี้ยงที่บริเวณอุทยาน ก็มีอุทยานน้ำพุ มีการแสดงระบำชุดต่างๆ การแสดงแสง สีประกอบน้ำพุ และมีดอกไม้ไฟและพลุบนท้องฟ้า น่าชมมาก แต่มันไม่ค่ำเลยอาจจะเห็นพลุน้อยไปหน่อย ที่ข้าพเจ้าอยู่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ตี 4 ยังสว่างจ้า เลยต้องดูกันอย่างนั้น วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม 2550 ไปวางพวงมาลายังที่ฝังพระบรมศพ พระเจ้าซาร์นิโคลัส ที่ 2 ณ ปอลปีเตอร์ และพอล พวงมาลานี้เป็นพวงมาลาดอกพุฒตาล ทำด้วยทอง นาค และเงิน เป็นฝีมือนักเรียนศิลปาชีพ สวยงามมาก นักเรียนศิลปาชีพเป็นคนทำพวงมาลานี้ และข้าพเจ้าได้โอกาสไปเยี่ยมชมเรือรบหลวงออโรรา ซึ่งเป็นเรือสำคัญที่เคยมาเข้าร่วมพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ภายในเรือมีสิ่งของพระราชทานและตราประจำพระองค์ด้วย ข้าพเจ้าได้ไปชมพิพิธภัณฑ์เฮอร์มิเทจ มิวเซียม หรือพระราชวังฤดูหนาว ซึ่งเป็นที่เก็บศิลปวัตถุล้ำค่ามากที่สุดแห่งหนึ่งของรัสเซียและโลก โดยสมเด็จพระจักรพรรดินีแคทรีน เดอร์เกรช มหาราชินี ได้ทรงรวบรวมศิลปวัตถุที่พระราชวงศ์โรมานอฟเก็บสะสมไว้เป็นอันมาก ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระจักรพรรดิปีเตอร์ ที่ 1 มหาราช ในพิพิธภัณฑ์นี้มีทั้งงานจิตรกรรม ประติมากรรม เหรียญตรา รวมทั้งหนังสือมากมาย ขนาดที่ข้าพเจ้ากำลังชมพิพิธภัณฑ์อยู่นี้มีผู้นำโทรศัพท์มาให้ข้าพเจ้า บอกว่าประธานาธิบดีปูตินขอพูดโทรศัพท์กับสมเด็จพระนางเจ้าฯ ข้าพเจ้าก็รับโทรศัพท์ ท่านประธานาธิบดีปูตินก็ถามว่าทรงพระสำราญดีไหม ทรงได้ทอดพระเนตรสิ่งที่สนพระทัยหรือเปล่า น่ารักมาก ข้าพเจ้าไม่นึกว่าประธานาธิบดีปูตินจะรับเสด็จอย่างเป็นกันเองและน่ารัก ทราบแต่ว่าประธานาธิบดีปูตินสนิทกับท่านนายกฯ สุรยุทธ์ เพราะฉะนั้นคอยดูแลข้าพเจ้าแทนท่านนายกฯ มีโทรศัพท์ถามมาว่า เรียบร้อยไหม ทรงพระสำราญไหม ได้ชมเชิงเทียนทองคู่รูปหงส์ และพานแว่นฟ้าทอง 2 ชั้นบนหงส์ เป็นของที่ระลึก ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระเจ้าซาร์นิโคลัส ที่ 2 เมื่อครั้งทรงดำรงพระยศเป็นมงกุฎราชกุมาร และเสด็จมาเยือนประเทศสยาม เมื่อ พ.ศ.2434 และยังได้ไปเสด็จประทับกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่พระราชวังบางปะอิน ชมนาฬิกามยุราคือ นาฬิการูปนกยูงทองคำ อันนี้สวยมากน่าตื่นตาตื่นใจ สร้างโดยนายช่างชาวอังกฤษ ในศตวรรษที่ 18 ซึ่งกลไกยังทำงานได้ดี นกยูงตัวเกือบเท่าตัวจริง นูกยูงตัวจริง แต่อยู่ในตู้กระจกใหญ่เชียว กลไกยังทำงานได้ดี นกยูงสามารถรำแพนหาง และหมุนได้ตามเวลาที่กำหนด เวลาค่ำกงศุลใหญ่กิตติมศักดิ์ไทยประจำนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เขาเลี้ยงอาหารค่ำข้าพเจ้า ที่พระราชวังคอนสแตนติน มีการแสดงระบำพื้นเมืองรัสเซียสวยเหลือเกิน จนบัดนี้ก็ยังไม่ทราบว่า เขาทำท่าไหนดูเท้าเขาก็ยืนบนพื้นเนี้ยะ แต่ดูเหมือนว่าลอยเลื่อย เคลื่อนไหวประหลาดพวกเราถามว่า เอ๊ะนี้เขาทำยังไง ผู้หญิงที่ดูแต่งตัวแบบชาวบ้าน ของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ทำไมดูเหมือนกับว่าไม่ได้เดินไม่ได้อะไรเลย แต่ทำไมดูเหมือนลอยอยู่อย่างนี้ ดูเหมือนกับว่าไม่ได้เดินไม่ได้อะไรเลย แต่ทำไมดูเหมือนลอยอยู่ การแสดงระบำพื้นเมืองชุดนี้ประธานาธิบดีได้สั่งการด้วยตนเอง ให้ส่งคณะนาฏศิลป์ของสำนักประธานาธิบดีมาแสดงให้ชม วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม 2550 มหาวิทยาลัยแห่งนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งปัจจุบันมีอธิการบดีเป็นผู้หญิง ก็มอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาภาษาและวัฒนธรรมตะวันออกแก่ข้าพเจ้า เนื่องในภารกิจการที่ว่าช่วยต่อสู้แก้ปัญหาความยากจนเพื่อประชาชน การส่งเสริมสันติภาพโลก และมิตรภาพระหว่างประเทศ การพัฒนาอาชีพ และการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นของไทย มหาวิทยาลัยนี้เป็นสถาบันการศึกษาระดับสูงแห่งแรกในรัสเซีย และเป็นสถาบันแห่งการศึกษาที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของโลก ประธานาธิบดีปูติน รวมทั้งบุคคลสำคัญหลายคนของรัสเซียก็สำเร็จการศึกษามาจากมหาวิทยาลัยนี้ มีประเพณีปฏิบัติของมหาวิทยาลัยที่อธิการบดีจะต้องตั้งคำถามผู้ที่จะได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิต ต้องคำถาม 3 ข้อ คือ 1.ท่านพร้อมที่จะส่งเสริมสันติภาพ และมิตรภาพระหว่างมนุษยชาติหรือไม่ 2.ท่านพร้อมที่จะดำเนินการอย่างเต็มกำลังในการสนับสนุนให้เยาวชนที่มีความสามารถได้บรรลุจุดมุ่งหมายทางวิทยาศาสตร์หรือไม่ 3.ท่านสมัครใจที่จะรับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ของมหาวิทยาลัยแห่งนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก หรือไม่ และเจ้าหน้าที่เขาสอนข้าพเจ้าก่อนแล้วที่จะมีคำถามนี้ ทีแรกเขาขอให้ข้าพเจ้าตอบเป็นภาษาไทย และจะมีล่ามพูดภาษารัสเซีย แต่ตอนหลังเขาขอร้องว่าขอให้ข้าพเจ้ารับคำว่า yes เป็นภาษารัสเซีย 3 หน ซึ่งก็ไม่ยาก พูดว่า ด้ะ ด้ะ แต่ข้าพเจ้าไป ด้ะ ผิดจังหวะ เขาคงหัวเราะกันครืน งานที่ข้าพเจ้าทำนั้น เป็นการสนองพระราชดำริสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้สามารถเลี้ยงตนเองได้อย่างยั่งยืน และปริญญานี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่เพียงแก่ให้เกียรติข้าพเจ้าเท่านั้น ยังเป็นการให้เกียรติแก่ประเทศไทย และประชาชนชาวไทยทั่วประเทศด้วย ไปชมพิพิธภัณฑ์มานุษวิทยาและชาติพันธุ์ คุณคาเมลา พอเขียนภาษาไทยก็อ่านไม่ออกเสียอีก ที่มิวเซียมพิเศษของเขา สร้างในสมัยสมเด็จพระจักรพรรดิปีเตอร์ที่ 1 มหาราช ซึ่งทรงรวบรวมสิ่งของที่มีความสำคัญทางด้านสังคมวิทยา วัฒนธรรม มานุษยวิทยา จากทวีปต่างๆทั่วโลกไว้ได้กว่า 2,000,000 ชิ้น พิพิธิภัณฑ์นี้เก็บรักษาสิ่งของที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ พระราชทานแก่พระเจ้าซาร์นิโคลัส ที่ 2 เมื่อครั้งดำรงพระยศมกุฏราชกุมาร และเสด็จมาเยือนประเทศสยาม ใน พ.ศ.2434 เช่นพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 5 กับสมเด็จพระพันวษาอัยยิกาเจ้า พระฉายกระจุก ประทับตราพระปรมาภิไธย จปร. พระแสงดาบหัวนาคและหัวช้าง พระแสงกริช รวมทั้งสมุดภาพเก็บพระฉายาลักษณ์พระเจ้าซานิโคลัส ที่ 3 กับบรรยากาศคราวที่เสด็จเยือนสยามในครั้งนั้น น่าชื่นชมที่เขาเก็บรักษาไว้อย่างดี เวลาหยิบจับสิ่งของทุกชิ้น เจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์จะต้องสวมถุงมือและจับอย่างระมัดระวัง เวลาค่ำไปชมวังยูซูปอฟ ซึ่งเป็นที่ประทับของเจ้าชายเฟรลิก ยูซูปอฟ ที่ 2 ผู้ร่วมในแผนสังหารลาสปูติน นักบวชผู้ทรงอิทธิพลในปรายสมัยราชวงศ์โรมานอฟ และยังได้ชมบัลเลต์ที่โรงละครเล็กในวังยูซูปอฟ โดยคณะบัลเลต์ชั้นนำของนครเซ็นปีเตอร์สเบิร์ก ข้าพเจ้าเห็นบัลเล่ย์ชุดนี้แล้ว ซึ่งเขาบอกเป็นชุดเล็กๆ ซึ่งเดี๋ยวนี้เซ็นปีเตอร์สเบิร์ก ไม่ใช่เมืองหลวงแล้ว แต่ข้าพเจ้าตะลึง เห็นสวยเหลือเกิน สวยอย่างจับใจไม่หาย บัดนี้ก็ยังไม่หาย อยากจะขอให้ท่านนายกฯ ช่วยขอท่านปูติน ขอให้นักบัลเลต์คณะนั้นช่วยมาเต้นถวายทอดพระเนตร สวยเหลือเกิน ซึ่งเขาทำ เขาแสดงภาพฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งเราก็เคยเห็นแล้วมันจะกลายเป็นสีน้ำตาลปนแดงๆ ร่วงหลุดคว้างมาโดนลม หลุดคว้างมาที่พื้นดิน แต่แสดงโดยผู้หญิง นักบัลเลต์ผู้หญิงกับผู้ชายรัสเซีย ซึ่งแต่งเป็นสีใบของใบไม้สมัยฤดูใบไม้ร่วง แล้วท่าที่เต้นสวยเหลือเกิน เล่นคว้าง หมุนคว้างลงมา เกิดมาจน 75 ยังไม่เคยเห็นการเต้นบัลเลต์ที่ไหนสวยเท่านี้เลย ที่นี่สวยเหลือเกิน ไม่กล้าพูด แต่ต้องบอกความจริง สวยกว่าบอลชอยอีก ซึ่งเขาเป็นคู่ปรับกัน สวยเหลือเกิน เขาเต้นอีกชุด ซึ่งข้าพเจ้าเคยดูชุดนี้มาที่ยุโรปตั้งหลายครั้ง ชุดการตายของหงส์ ของนางหงส์ ดายเนอร์ ออฟ เดอะสวอน ดูแล้วโอ้โหตาย อะไรช่างสวยงามปานนั้นไม่ทราบ ตั้งแต่หัวจรดเท้าเลย มือนี้ ปลายนิ้ว สวยเหลือกำลัง สวยติดตาติดใจอยู่จนบัดนี้ วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม ก็ไปชมมหาวิหารเซนไอแซก ซึ่งเป็นวิหารใหญ่ที่สุดของรัสเซีย สร้างด้วยศิลปะคลาสสิกผสมกับบารอก โดยสถาปนิกชาวอิตาลี และฝรั่งเศส ใช้เวลาก่อสร้างนานนับ 100 ปี ที่นั่นข้าพเจ้าก็ได้ไปพบกับนักเรียนไทย บางคนไปรอพบข้าพเจ้าที่นั่น แล้วเค้าก็บอกว่า แหมเค้าชื่นใจเหลือเกินที่ข้าพเจ้าคิดแบบไทย แบบชุดไทยขึ้นเนี้ยะ เค้าเวลาเห็นใครใส่ชุดนั่น เค้าก็เดินตรงรีบไปทักทายได้ รู้ว่าเป็นคนไทย ไม่อย่างนั้นแล้วก็ไม่กล้าไปทัก ไม่ทราบว่าเป็นชาติไหน ทีหลังเค้าไปชมบริษัทอัญมณีอานานอฟ ซึ่งมีนายอันเดร อันนานอฟ เป็นเจ้าของเป็นหัวหน้านักออกแบบอัญมณี ที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่ง ของรัสเซียในปัจจุบัน เค้าได้รับรางวัลระดับนานาชาติเป็นอันมาก ช่างของบริษัท อานานอฟ สามารถสร้างไข่ประดับอัญมณี และเครื่องลงยาได้งดงาม คล้ายคลึงมากกับผลงามของ คาฟาแบเช่ ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในปลายราชวงศ์โรมานอฟ ไม่ใช่มีชื่อเสียงที่รัสเซีย หรือที่ยุโรป มีชื่อเสียงไปทั่วโลกหมดเลย ซึ่งการลงยาของเขาสมัยนี้ ก็ยังไม่มีใครสามารถลงยาได้เช่นนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงสั่งให้ฟาแบเช่ลงยาเกี่ยวกับ พระบรมรูปพระราชโอรส พระราชธิดาของพระองค์ ซึ่งเป็นเข็มกลัด ซึ่งข้าพเจ้าก็ยังมีอยู่ในปกของตัวข้าพเจ้าเองเลย สมัยนั้นรัชกาลที่ 5 ทรงซื้อผลงานของฟาแบเช่ไว้หลายชิ้น เมื่อคราวที่ท่านประธานาธิบดีปูตินไปเยือนประเทศไทยก็มาขอดูที่รัชกาลที่ 5 ทรงสั่งซื้อเอาไว้ โดยฝีมือของฟาแบเช่นี้ นายอานานอฟมีน้ำใจอนุญาตให้นักเรียนศิลปาชีพที่ติดตามข้าพเจ้าไปเข้าชมขั้นตอนการผลิตเครื่องลงยา และอัญมณีของบริษัท อานานอฟ ด้วย ไปชมพระราชวังสมเด็จพระจักรพรรดินี แคทเทอรีน ที่ 2 มหาราชินีที่เราได้ยิน ที่ได้อ่านตามหนังสือต่างๆ ต่างประเทศว่า แคทเทอรีนเดอะเกรซ พระราชวังนี้ตกแต่งอย่างงดงามอลังการ ห้องที่งดงามที่สุดเป็นห้องอำพัน อำพันนี้ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบว่าคืออะไร แต่ตอนหลังเขาก็อธิบายให้ฟังว่า อำพัน หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า แอมเบอร์ คือยางไม้ เป็นไม้สมัยเมื่อหมื่นปี หลายพันปี จึงแข็ง มีสีเหลือง 2 สีเหลือง สีเหมือนเมดซะจี้ และเหลืองแจ่มใสอีกเหลืองนึง มีค่าที่ว่า เป็นยางไม้ธรรมดาแล้วอยู่จนกระทั่งแข็งตัวเป็นก้อน อันนี้แปลกมาก จากนั้นข้าพเจ้าได้ไปนั่งรถม้าชมสวนของพระราชวังนี้ ซึ่งสวยงามมาก แล้วตลอดทางก็มีผู้คนรัสเซียที่นำข้าพเจ้าไปด้วย แล้วก็มีนักเรียนไทยที่เป็นผู้แปลภาษารัสเซีย นักเรียนไทยผู้หญิง เก่งมาก แปลอย่างละเอียดละออ ข้าพเจ้าเชื่อแล้วว่า คนไทยของเราเก่ง เพราะว่า ผู้หญิงคนนี้ เด็กผู้หญิงคนนี้แปลอย่างลึกซึ้งให้ข้าพเจ้าเข้าใจอย่างลึกซึ้งมาก ซึ่งก็ทราบกันว่า ภาษารัสเซียยาก ยากแต่เพราะ แค่ด๊ากคำเดียว ข้าพเจ้ายังพูดผิดพูดถูกเลย ผิดจังหวะไปหน่อย แต่เขาก็ดี เขาน่ารัก ไม่ตั้งใจหัวเราะเยาะ แต่มันอดขำไม่ได้ ด๊ากผิดจังหวะ วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม ข้าพเจ้าจึงได้อำลาประเทศรัสเซีย มีการส่งเสด็จอย่างงดงาม มีการสวนสนามอย่างเดิม ซึ่งข้าพเจ้าชื่นชมมาก นายทหารรัสเซียที่สวนสนาม สง่ามาก สง่างามมากเลย วิธีที่เขาเชิดหน้าขึ้นไป ที่เขาเดิน โอ้โห เขาเชิดหน้าขึ้นไปแต่ตาเขาเหลือบมองข้าพเจ้า ทุกคนลืมตา แล้ววันจันทร์ข้าพเจ้าก็ลาเพื่อนๆ รัสเซียออกเดินทางไปกรุงเบอร์ลิน อันนี้ข้าพเจ้าได้ขอพระราชทานอนุญาตและขอร้องไว้แล้วกับ ดร.จิรายุ ว่าขอไปพักที่ซาลซ์บูร์ก ก่อนที่จะไปเยอรมัน ข้าพเจ้าไปที่ออสเตรียก่อน ที่ซาลซ์บูร์ก ไม่ว่าไปที่ไหนคนไทยจะมารับมากมายก่ายกอง อย่างที่ซาลซ์บูร์ก นี่ก็คนไทย ผู้หญิงไทย มารับ และก็แสดงความจงรักภักดี ลงหมอบกราบและถวายดอกไม้ ร้องไห้สะอึกสะอื้น ข้าพเจ้าก็กระซิบ แต่กระซิบมานานแล้ว ตั้งแต่ข้าพเจ้าไปเนเธอร์แลนด์ ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ผู้หญิงไทยที่แต่งกับชาวเนเธอร์แลนด์ ก็ลงกราบพระบาทสมเด็๗พระเจ้าอยู่หัวฯ และข้าพเจ้า และร้องไห้ ข้าพเจ้าก็บอกว่าอย่าลงกราบซิ เดี๋ยวฝรั่งเขาว่าเอา ผู้หญิงไทยนั้นก็พูดว่า "ฝรั่งมันจะว่าอะไรก็ช่างหัวมัน" สำเนียงเด็ดขาดมากเลย นี่ก็เหมือนกัน ข้าพเจ้าบอกว่าอย่าลงกราบ เขาบอกใหญ่เลย "ช่างหัวมันประไร ขอกราบที" เขาบอกว่าเห็นหน้าท่านก็คิดถึงบ้านเมืองของตัวมาก ข้าพเจ้าเองไม่เคยคิดว่ามีผู้หญิงไทยแต่งงานกับคนเยอรมันมากเช่นนี้ และแสดงความรักกันอย่างเต็มที่ เอาดอกไม้มาให้ ฝรั่งตกตะลึงตาค้าง เห็นคนไทยมาแสดงความรักความชื่นชมก็นับเป็นบุญของข้าพเจ้า เพราะบางครั้ง คนของประเทศนั้นๆ เอง ก็มาโห่ร้องประมุขของประเทศเขาเองเหมือนกัน แต่ของข้าพเจ้ามาแสดงความรัก มาจูบมือ มากอด ข้าพเจ้าก็ไปพักที่ซาลซ์บูร์ก ที่กรุงออสเตรีย ก็ได้รับความสะดวกสบายทุกอย่าง ธรรมชาติที่นั่นสวยเหลือเกิน ข้าพเจ้าก็ขอร้องว่าไปที่นั่นเพราะว่า 15 ปี แล้ว ไม่ได้โผล่ไปเลยที่นั่น และข้าพเจ้าก็ถือโอกาสไปช้อปปิ้งเอง ตอนนี้สนุกเชียว ประเดี๋ยวเดียวที่ร้านขายกระเป๋าหนังต่างๆ ก็มีคนออสเตรียมามุงแน่นเชียว ขี่คอกันเองก็มี และเขาก็พูดกัน เขามาคอยดูข้าพเจ้า เขาบอกว่าต้องมาคอยดูสิริกิติ์ หน่อย ไม่ได้เห็นมาตั้งนานแล้ว เขาก็เถียงกันเองว่า สิริกิติ์ ป่านนี้จะอายุสักเท่าไหร่ละ เขาก็นับกันไปใหญ่ และเขาก็บอกว่า อ๋อ 60 ละ ข้าพเจ้าได้กำไรอีกตั้งเยอะ ออกมาเขาก็แสดงความรัก ปรบมือให้ ให้ดอกไม้ แสดงความรักมากมาย ซึ่งข้าพเจ้าเองเนี่ยไม่ได้โผล่ไป 15 ปี ไม่ได้พบเขาเลย แต่ยังอุตสาห์ยังจำได้ ฝังใจชื่อนี้อยู่ แต่เขานับกันเองว่า 60 แล้ว วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม 2550 ข้าพเจ้าก็อยู่ที่เยอรมัน อยู่ที่มิวนิก แต่ว่าภรรยาประธานาธิบดีเยอรมัน มิสซิสเอว่า ลูอิสเซอร์ เคอร์เลอร์ ซึ่งเป็นภรรยาประธานาธิบดีเยอรมัน ขอร้องให้ข้าพเจ้าแวะไปที่เบอร์ลิน อยากจะเชิญไปเลี้ยงน้ำชา และอยากมีข้อข้องใจ สงสัยอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับการทำงานของข้าพเจ้า เธอพูดน่ารัก เธอบอก ข้าพเจ้าได้ทำงานในฐานะสตรีหมายเลข 1 ของประเทศไทย มาเป็นเวลานาน โดยที่ยังมีคนชื่นชม ก็อยากจะทราบว่า ทรงงานยังไงบ้าง แล้วตลอดเวลาที่ไปที่นั่นเธอก็สนใจซักถามเกี่ยวกับงานที่ข้าพเจ้าทำ ว่าช่วยเหลือราษฎรช่วยเหลืออย่างไร ในเรื่องความเป็นอยู่ ให้เขาอยู่ดีกินดีขึ้น มีอาชีพทำ และช่วยเหลือเรื่องโรคภัยไข้เจ็บหรือเปล่า ที่เขามีร่างกายทรุดโทรม ซึ่งทรุดโทรมมากทั้งนั้น ข้าพเจ้าก็ ภาษาอังกฤษก็ไม่คล่องพอที่จะอธิบายเช่นนั้น เลยขอให้ ดร.จิรายุ ซึ่งข้าพเจ้าขอร้องให้ตามไปด้วย ให้ ดร.จิรายุ แปลงานของข้าพเจ้า ก็นานกว่าชั่วโมง เพราะเธออยากทราบว่า ช่วยเหลือราษฎรอย่างใดบ้าง วิธีไหนบ้าง จะเข้าไปพบราษฎรอย่างไร และงานศิลปาชีพสร้างขึ้นมาอย่างไร ข้าพเจ้าก็บอก ดร.จิรายุ ความจริงข้าพเจ้าบังเอิญไปเห็นเข้า ราษฎรที่มาเฝ้าแสนยากจน ยากจนเหลือเกิน เห็นผ้าซิ่นที่เขาใส่ แล้บออกมาจากซิ่นตัวใหม่หน่อยที่เขาใส่มารับข้าพเจ้า เห็นผ้าซิ่นข้างใน สวยเหลือเกิน เป็นลายเก่าโบราณ ข้าพเจ้าเลยขอเขาให้ เรียกเขามากระซิบตัวต่อตัวว่า ลายนี้ อย่างที่แม่ใส่อยู่นี่ ข้างในนี่ ทอให้ราชินีได้ไหม ประชาชนตอบว่า เอาไปทำไมกัน ถ้าฉันทอ ทอให้ได้แต่เอาไปทำไม ได้ผ้าอย่างนี้คนใช้ในกรุงเทพฯ เท่านั้นที่ใส่กัน ไม่มีใครใส่หรอก ข้าพเจ้าบอก สัญญา ฉันสัญญาว่า ถ้าแม่ทั้งหลายทอให้ฉัน ฉันจะใส่ จะใส่ไปงานไปการ จะใส่ให้เป็นที่ประจักษ์ว่า มัดหมี่ของชาวอีสานสวยสุดขีดอย่างไร เขาก็บอก เอาถ้างั้นตกลง ถ้าแม้นว่าท่านยอมจะซื้อของเขาเขาก็ตกลง เขาบอกไม่งั้นเขาทอ ปู่ย่าตายายสอนเขามา เขาทอแล้วไปขายในท้องตลาดโดนเถ้าแก่กดราคาซะจน พูดแล้วก็ร้องไห้ จนกระทั่งไม่ทราบจะนั่งทออดหลับอดนอนตลอดคนไปทำไม เขาก็เลยตั้งใจว่า ทิ้งเลยศิลปะนี้ และข้าพเจ้าก็บอกรับรองถ้าเผื่อ ทอให้พระราชินี พระราชินีใส่ ข้าพเจ้าก็ได้ทำตามคำมั่นสัญญาแล้ว และไปที่ประเทศต่างๆ ในโลก ก็ได้ใส่มัดหมี่ตลอดเวลา มีช่างมีชื่อเสียงของฝรั่งเศส ของอิตาลีเป็นผู้ที่ออกแบบ เพราะถ้าให้ข้าพเจ้าออกแบบเอง ก็คงออกแบบไม่ทราบว่า ใจคอของคนต่างประเทศ เค้าจะคิดชื่นชม หรืออยากซื้อใช้ได้ยังไง ก็เลยให้ช่างฝรั่งเศส กับช่างอิตาลีมาออกแบบ และใส่ไปตามประเทศ ก็ปรากฎว่าเดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้าไปเห็นด้วยตาตนเอง เดี๋ยวนี้มีผ้ามัดหมี่ที่ตู้กระจก ที่ปารีส เพื่อโฆษณาถึงผ้ามัดหมี่นี้ ภรรยาของท่านประธานาธิบดีเยอรมัน น่ารักมากและพูดภาษาอังกฤษก็เก่ง เวลานั่งรถผ่านไป แล้วก็กลับไปนอนที่โฮเต็ลที่เบอร์ลิน ผ่านไปเพื่อจะไปที่ทำเนียบของประธานาธิบดี เห็นตลอดทางถนน เขารักษาป่าของเขาเหลือเกิน รัสเซียเหมือนกัน ข้าพเจ้าดูแล้วเอะทำไมคนไทยถึงชอบตัดต้นไม้นัก ทั้งๆ ที่ถูกแล้วเวลาเราตอนนี้พอมีน้ำใช้ ใช้น้ำกิน แต่ทำไมคนไทยถึงชอบตัดต้นไม้นัก ซึ่งข้าพเจ้าสู้เรื่องนี้มา ตั้งแต่อายุน้อยๆ จนแก่จนบัดนี้ก็ยังไม่สำเร็จเลย พอพยายามพูดกัน รัฐบาลทุกรัฐบาลเลยว่า ต่อไปถ้าป่าเสื่อมสูญไปแล้วก็ น้ำจืดที่เรามีกินมีใช้ก็จะน้อยมาก แล้วก็ทางองค์การโลกเค้าได้พยากรณ์ไว้ว่า อีกประมาณซัก 20 ปี น้ำจืดจะขาดแคลนอย่างมาก จะเป็นของที่หายากมาก คือหนังสือที่ลงนี้ เป็นหนังสือที่มีชื่อเสียงของโลก ข้าพเจ้าก็จึงเชื่อว่าเป็นความจริง อยากจะมาพูดให้ท่านายก และทุกๆ คนฟังว่า เพื่อลูกหลานของเอง ชีวิตลูกหลานของเราเอง เพื่ออนาคตของประเทศไทย ขอให้มีมาตรการรักษาป่า ไว้ให้ได้ถึงแม้จะลำบากหน่อย เพราะป่าของไทยเป็นป่าสัก ไม้มะค่า ไม้ตะเคียน ล้วนแล้วแต่ขายได้แพงลิบ แต่ก็น่าจะพยายามที่จะรักษาป่าไม้ ของไทยเอาไว้ อย่างเช่นบริเวณหัวหิน ปลูกสนก็ปลุกไป อย่างน้อยเวลาที่ฝนตกลงมามากๆ ต้นไม้เหล่านี้ก็จะดูดน้ำไว้ใต้รากของเขา ที่รากของเขาใต้ต้น จะรักษาน้ำในแผ่นดินเอาไว้ ให้เราได้ใช้ และประเทศไทยไม่ได้มีแหล่งน้ำเหมือนประเทศพม่า ประเทศพม่าเค้ามีแหล่งน้ำน่าอุ่นใจมาก ประเทศไทยเราไม่มีแหล่งน้ำอะไรเลย ต่อไปเราอาจจะต้องซื้อน้ำจากต่างประเทศ ซึ่งก็จะเป็นที่น่าสงสารคนไทยที่ยากจนมาก ข้าพเจ้าเคยพูดเช่นนั้น ข้าราชการที่ข้าพเจ้าจำชื่อ ตำแหน่ง เขาไม่ได้แล้ว ที่ทางด้านอีสาน เขาบอกข้าพเจ้าว่า ท่านอย่าวิตกมากไปเลยเรื่องน้ำเนี่ย เขาบอก เราเนี่ยมีแน่โขงทั้งแม่โขง อยู่ริมจังหวัดต่างๆ ของเราเลย เราก็ทดแม่โขงขึ้นมาก็สิ้นเรื่อง เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าใจหายว่าเขาผิดถนัด เพราะว่าได้เห็นหน้าปกของนิตยสาร ข้าพเจ้าเข้าใจว่าเป็นไทมส์ ข้อความในนิวส์วีคส์ ว่า แม่โขงเดี๋ยวนี้แห้งลง ปลาบึกก็อยู่ไม่ได้แล้ว แห้งเกือบผาก แล้วคนไทยที่มีอาชีพจับปลารับประทานเนี่ย ก็หน้าแห้งตามๆกัน เพราะว่าต้นน้ำของแม่โขงนี้ อยู่ที่ประเทศจีน ผืนแผ่นดินใหญ่ ก็แน่นอนว่าจีนผืนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งมีประชากรมากมาย เขาก็ต้องดูแลประชาชนของเขาทั่วถึง เขาก็เพียงกักเก็บแม่โขงที่อยู่ในผินแผ่นดินเอาไว้ ผลก็คือ แม่โขงแห่งผาก ข้าพเจ้าก็ไม่มีโอกาสที่จะไปพูกกับข้าราชการทางอีสานคนนั้น เสียงเขารำคาญข้าพเจ้าด้วย ท่านนะ อย่าวิตกให้มากนักเลยเรื่องน้ำ ปรกฏว่าข้าพเจ้าถูก เพราะเวลานี้ทางองค์การโลก ก็ขอร้องให้ทุกคนช่วยกันเก็บน้ำจืดไว้ให้ดี ซึ่งข้าพเจ้าก็อยากจะบอกว่าขอร้องให้ทุกท่านช่วยประเทศไทยให้ช่วยราษฎรไทยต่อไปลูกหลานท่านเองในอนาคต อย่างข้าพเจ้าขอร้องเรื่องการตัดป่า ได้ขอร้องท่านนายกฯ ท่านไปแล้ว ว่า มีวิธีใดที่จะรักษาป่า เพราะว่าไม้แต่ละต้น ถ้าเป็นพันธุ์ไม้ใหญ่ จะเก็บน้ำจืดไว้มากมาย และปล่อยมาเป็นลำธาร และตลอดจนถึงเป็นแม่น้ำ และอีกอย่างที่ข้าพเจ้าอยากจะขอร้องพวกท่าน เพราะข้าพเจ้าเป็นพระราชินี ตั้งแต่อายุ 17 กว่าๆ ก่อน 18 ไม่กี่เดือน จนถึง 75 ยังขอร้องอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง ไม่มีผลอะไรเลย เรือ่งต้นไม้ก็ไม่มีผลสำเร็จ ทางการก็ไม่มีกฎหมายอะไร หรือมาตรการที่จะดูแลรักษาป่า เพื่อเก็บน้ำจืดไว้ แล้วก็ ภรรยาท่านประธานาธิบดีแห่งลาว เมื่อตอนมาเยือนประเทศไทย ก็พูดกับข้าพเจ้าบอกว่า เอ๊ะคนไทยทำไมชอบตัดป่านัก ตัดป่าของตนเองเหี้ยนเตียนหมด อีกหน่อยเถอะ ระวังจะไม่มีน้ำกิน ยังก้าวร้าวเข้าไปตัดป่าในเมืองลาวอีก ลาวไม่ยอมเด็ดขาดไล่เปิดไปหมด การฟังประมุขของประเทศเขาว่าให้อย่างนี้ ข้าพเจ้าก็บอก ถูกของท่าน การตัดป่าไม้ของเราเอง โดยเราไม่มีแหล่งน้ำที่ดี เป็นการที่โง่เขลามาก และอย่างที่เวลานี้หนังสือพิมพ์ลง พอฝนตกหนักเขา เอาที่มีภูเขาสูงต่างๆ คนก็เต้นตกใจ กลัวดินถล่มลงมาทับบ้าน กระท่อมบ้านช่องของตัวเองตาย อันนั้นไม่ใช่เพราะปล่อยให้คนที่มักมากไปตัดป่าหรือ ธรรมชาติ เขาสูงเต็มไปด้วยป่า ซึ่งเวลาฝนตกมากเท่าไหร่ต้นไม้เหล่านี้จะโดยอัตโนมัติ สูบน้ำลงไปใต้ดินหมด ส่วนน้อยเท่านั้นที่จะลงมา แต่ดินนั้นไม่มีวันถล่มลงมาที่มีต้นไม้และพืชต่างๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ท่านสอนข้าพเจ้าอย่างนี้ นี่เป็นอย่างนี้ พูดเท่าไหร่ไม่ฟังก็ต้องตายซะก่อน เห็นซะก่อนถึงจะเชื่อฟัง เพราะว่ามันต้องถล่มแน่เพราะพื้นที่เป็นที่สูงอย่างนี้ มันเป็นป่า เมื่อฝนแรงมากตกลงมา ดินมันก็ต้องถล่มลงมาทับตัวเองนั่นแหละ แล้วไม้ที่ตัวเองขึ้นไปตัดต่างๆ ก็ถล่มมากับน้ำด้วย มาทับหมดเลย ข้าพเจ้าว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง มาทับตาย ทำลายหมู่บ้านต่างๆ เป็นจำนวนมากก็ด้วยเหตุนี้ ทีนี้หน้าที่ของพวกเราคือว่า จะต้องกระจายข่าวไปว่า อันนี้ที่จะตายไม่ตายแหล่ก็เรื่องที่ปล่อยให้คนที่เห็นแก่ตัวไปเที่ยวตัด ถล่มป่าไม้ ไม่ดูภูมิประเทศ ไม่ดูถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นแก่คนยากคนจนที่อยู่ชายเขา ริมเขา เพราะฉะนั้นก็หวังจะได้รับความร่วมมือจากทุกท่านว่า ตั้งต้นเสียทีเถิด และมีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าหนักใจอย่างยิ่ง จะเล่าไปถึงเมื่อตอนข้าพเจ้าเล็กๆ หมายถึงอายุ 9 ขวบ 10 ขวบ ที่จำความได้ดี จะเห็นในแม่น้ำเจ้าพระยา หน้าบ้านข้าพเจ้า บ้านข้าพเจ้าอยู่ที่เทเวศร์นี่เอง ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เห็นประชาชนเขามาลงแห ทอดแห แล้วเห็นเขาดึงปลา ปู กุ้ง เยอะแยะเชียว ขึ้นมา เป็นคนยากจนจริงๆ คุณแม่ของข้าพเจ้า บอก แหมน่าจะขอซื้อปลา ปู กุ้งอะไรของเขาที่เขามาทอดแห ซึ่งตกลงซื้อเขามา กำลังสดมาก ตอนนั้น สมัยต้นๆ สงครามโลก แต่คนไทยยังมีอาหารรับประทาน ยังมีอาชีพ เรียกว่า ทอดแห ตกปลา มีอาชีพ ซึ่งจะนำอาหารไปให้ครอบครัว ลูกเล็กๆ ได้รับประทานได้ แต่เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบ รู้สึกว่าแม่น้ำเจ้าพระยา เกรงว่าจะถูกทำลายมากแล้ว โดยต้องขอให้ทุกท่าน โดยเฉพาะทางราชการมีมาตรการพิเศษ ข้าพเจ้าเชื่อว่าพันธุปลาหลายชนิดก็คงจะสาปสูญหายไปเลยไม่มีอีกแล้ว ไม่ว่าต่ออะไรทิ้งลงไปในแม่นำเจ้าพระยา แม้แต่โรงงานต่างๆก็ทิ้งเคมี น้ำที่ปนด้วยเคมีต่างลงไปในน้ำเจ้าพระยา เราทำได้อย่างไรกับประเทศชาติเราอย่างนี้ ในเมื่อรู้ว่าประเทศชาติ แผ่นดินนี้ เลี้ยงคนมาเป็นระยะเวลานานมากแล้ว มีอยู่มีกิน มีอะไรพอ และแม่น้ำเจ้าพระยาเต็มไปด้วยปลา กุ้ง ปู หอย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงอ่อนพระทัย รับสั่งให้ข้าพเจ้าฟังว่า เดี๋ยวนี้ฉันก็พยายามที่สุดไม่ให้คนมาทำลายป่าชายเลน ข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงทรงหวงป่าชายเลนมาก รับสั่งว่า รู้ไหมป่าชายเลนคืออนุบาล เท่ากับว่า ปู ปลา กุ้ง เขาใช้เป็นที่เขาเกิดมาเล็กๆ ยังสู้กับโลกนี้ไม่ไหว เขาใช้เป็นที่พักพิง แล้วก็โตวันโตคืน ขึ้นมาเพื่อให้เราจับกิน เดี๋ยวนี้ป่าชายเลนจะโดนคนที่ไม่มีความคิดจองจับทำลาย แต่เป็นมานานแล้ว ตลอดเวลา ทรงเห็นและทรงพยายามสู้ ทรงพยายามขอซื้อกับชาวบ้านด้วย ซื้อป่าชายเลน และสมเด็จพระเทพรัตนสุดาฯ ได้เห็นและได้ต่อสู้กับองค์เองเหมือนกัน ที่ไปต่างๆ ได้ขอให้ทุกท่านถ้าไม่อยากให้ลูกหลานอดอยากก็ขอให้ช่วยกันสู้รักษาสมบัติของบรรพบุรุษไทยให้คงอยู่เพื่อเลี้ยงคนไทยต่อไป พอข้าพเจ้าไปกรุงเวนิส เห็นแม่น้ำกว้างเชียว ก็ถามชาวอิตาเลียนว่า แม่น้ำมีปลาอะไรบ้าง ชนิดไหนบ้าง มีมากไหม เขาบอกว่าไม่มีสักตัว เขาบอกว่าปลามันอยู่ไม่ได้หรอกเพราะว่ามีอะไรสารพัดทิ้งลงไป เคมีต่างๆ ข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจว่าคนไทยเรา อ้อ ภรรยาประธานาธิบดีประเทศลาว พูดว่า คนไทยเนี่ย ด็อกเตอร์เดินออกเกลื่อนกราด แต่ทำไมไม่รู้จักว่าป่าเป็นสิ่งสำคัญ เก็บน้ำในดินให้กับประเทศ เป็นด็อกเตอร์เดินไปเดินมา ว่าอย่างนี้กับข้าพเจ้า ระหว่างนั่งรถจากดอนเมืองมากว่าจะถึงกรุงเทพมหานคร เสียงนิปลงคนไทย ปลงอนิจจังว่าเป็นด็อกเตอร์ซะเปล่าๆ ทำอะไรอย่างนี้ได้อย่างไร ถึงจะบอกให้ฟังว่า ตลอดทางที่ไปประเทศรัสเซีย เห็นมากว่ารัฐบาลรัสเซีย และคนรัสเซียเขาปลูกป่าเต็มไปหมด แล้วมาที่เยอรมันก็เช่นเดียวกัน ไปเมืองมิวนิกกับเบอร์ลิน ก็เห็นเขาปลูกป่า เบอร์ลินเพิ่งกำลังปลูก ปลูกป่ามากเลย ถ้าไม่มีประโยชน์แล้วใครเขาจะปลูก แต่ของเรามีป่าที่มีค่ามาก ซึ่งบรรพบุรุษตายซ้ำตายซากเพื่อรักษาแผ่นดินนี้ให้กับเรา แต่พวกเราไม่เคยมีความคิดที่จะรักษาแผ่นดินนี้ต่อไปให้กับลูกและหลาน นี่เป็นความจริง อาจจะเป็นเพราะความไม่รู้ แต่อะไรกัน คนพูดภาษาอังกฤษก็น่าจะอ่านหนังสือภาษาอังกฤษว่าป่าสำคัญอย่างไรในการเก็บน้ำจืด และถ้าไม่ตั้งต้นรักษาป่าซะตั้งแต่ตอนนี้ต่อไปก็ตั้งหน้าตั้งตาซื้อน้ำจากต่างประเทศไปเถอะ แต่สงสารว่าคนจนจะแย่ ข้าพเจ้าขอไปที่มิวนิกอีกแห่งหนึ่ง ไปของตัวเอง ไปเรื่องของตัวเอง มีกงสุลกิติมศักดิ์ประจำนครมิวนิก ของไทย คือ คุณหญิงบาบาร่า สไตล์เลอร์ เป็นคนมารับ แล้วมีกองทหารเกียรติยศแห่งรัฐบัลแวเรีย ข้าพเจ้าไปอยู่ที่รัฐบัลแวเรีย มาตั้งแถว 2 ข้างทาง เดินจากบันไดเครื่องบิน และมีวงดนตรีของรัฐบัลแวเรียมาบรรเลงต้อนรับ และตอนกลางคืน นายกรัฐมนตรีของรัฐบัลแวเรียและภรรยา ก็อุตส่ารับเสด็จ ข้าพเจ้าได้นำนิทรรศการศิลปาชีพไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ โฟร์เคอร์คุนเดอร์ ผมงานที่นำไปแสดงมี บุษบกมาลา สวยเหลือประมาณ ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนไทยทั้งชาติเก่งกันหมด ข้าพเจ้าไม่ได้คัดเลือกจากมหาวิทยาลัยศิลปากรเลยซักคนเดียว มีบุษบกมาลา มีเรือสำเภาทองคำ ทองคำแท้หมดเลย สวยเหลือประมาณ แล้วบนเรือสำเภายังแสดงฝีมือการทำทองหลายอย่างของไทย ตั้งแต่เป็นไทยมา การรู้จักทำทองอย่างไรบ้างบนเรือนี้ มีขนถมทองใบใหญ่ มีย่านลิเพา มีการแสดงคร่ำที่แกะสลักไปบนเหล็ก (คำถาม) มาซิมาใกล้ๆ หน่อย ปัดโธ่รู้ว่าคนยิ่งหูตึง วิธีทำคร่ำ คุณหญิงจรุงจิตต์บอก เอาทองคำผังลงไปในเหล็กแท้ๆ ซึ่งยากมากเลย เป็นศิลปะของไทยแท้ ไม่มีที่ประเทศไหนเป็นของไทยแท้ แกะสลักยังว่า แกะสลักมีหลายประเทศ ย่านลิเภาคล้ำผ้าปัก ผ้าไหมชนิดต่างๆ ซึ่งทางอีสานมีผ้ามัดหมี่ชนิดต่างๆ มากมาย 16 ชนิด ซึ่งข้าพเจ้าได้มาแค่ 3 -4 ชนิดเท่านั้นเอง เพราะ 16 ชนิดนี้ เจ้าของเขาหวงเขายังเจรจาการทูตเท่าไหร่ เขายังไม่ยอมให้มาก็อบปี้ นิทรรศการที่แสดงอยู่ที่มิวนิก ถึงเดือนตุลาคม 2550 ได้ทราบจากนักเรียนไทยว่า มีคนสนใจไปชมมาก เข้าแถวกันเข้าไปชม และวันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม ยุคฟรานฟรอนบาเยิร์ก ก็เชิญข้าพเจ้าไปเลี้ยงน้ำชา ที่พระราชวังนิวเฟรกบลวก ซึ่งเป็นพระราชวังของพระราชวงศ์นี้ ใหญ่โตสง่าสวยงามมาก ใหญ่โตเหลือประมาณ รัฐบาลอุตส่าห์ยอมให้ท่านไปเลี้ยงน้ำชาข้าพเจ้า ที่พระราชวังนี้ เวลาค่ำนายกรัฐมนตรีบัลแวเรีย มิสเตอร์เอ็ดเมิน สตอยเบอร์ และภรรยาก็เลี้ยงอาหารค่ำที่ๆ อยู่ของเขา เรสซิเดนท์มิวชั่น เป็นห้องเลี้ยงที่ใหญ่มาก โต๊ะที่เลี้ยงเป็นโต๊ะยาวนั่งพร้อมกันได้ 86 คนทั้งหมด และข้าพเจ้าก็ได้พบปะคนไทย และนักเรียนไทยในเยอรมันนับพันคน ซึ่งหลายคนอุตส่าห์ใช้เวลาเดินทางมาพบ หลายชั่วโมง และมีความยินดีที่ได้พบกันอย่างแท้จริง คำแรกที่เค้าถามว่า ในหลวงสบายดีหรือเปล่า ก็บอกว่าสบายดีแข็งแรงขึ้นทุกวันแล้ว หลังจากผ่าตัด ส่วนมากจะห่วงใย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และก็ห่วงใยบ้านเมือง แล้วก็ข้าพเจ้าได้พบปะกับนักเรียนไทยประมาณ 4,000 คนได้ เค้าขอพบได้ถามข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ไม่คิดว่าจะได้ถูกถาม เรื่องพระพุทธศาสนา กับรัฐธรรมนูญซึ่งข้าพเจ้าไม่คิดเลยว่า ที่จะโดนถามอย่างนั้น ข้าพเจ้าก็อธิบายไม่ได้มีกระดาษอะไรเลย ก็ต้องอธิบายว่า ข้าพเจ้าคิดเองว่า พระพุทธศาสนานี้เป็นสิ่งที่ประเสริฐสุดสูงส่งแล้ว และได้รับการสนับสนุนมาโดยตลอด ตั้งแต่สมัยสุโขทัย จากคนไทยทั้งชาติ พระบวรพุทธศาสนาเป็นของที่สะอาดสูงสุด ทุกคนก็คิดว่าไม่อยากให้เข้าไปพัวพันกับคำว่าการเมือง ข้าพเจ้าพูดเช่นนั้นต่อหน้านักเรียนไทย 4,000 คน ควรเทิดทูนเอาไว้เหนือเกล้า ว่าเป็นแสงสว่างในหัวใจของคนไทยทั้งหลาย การเมืองบางครั้งก็มีความผิดพลาด บางครั้งก็มัวหมองได้ หลายเรื่อง เพราะฉะนั้นไม่ควรเอาพระบวรพุทธศาสนาไปไว้กับกฎหมายสูงสุดแห่งประเทศไทย คือรัฐธรรมนูญ ควรจะทิ้งพระบวรพุทธศาสนาไว้เช่นนี้ ที่ถูกเทิดทูนโดยประชาชนทั้งชาติ พอข้าพเจ้าพูดจบเล่าเหตุผลจบ นักเรียนไทยก็ปรบมือดังสนั่นลั่นไปทั่วงาน ในเมืองไทย ข้าพเจ้าได้ทราบว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่คนนับถือมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ คงจะไม่ให้ใครมาแตะได้ ข้าพเจ้าเข้าใจว่าการเมืองบางครั้งก็มีอะไรหลายอย่างไม่ค่อยตรงไปตรงมานัก เพราะฉะนั้นดีแล้วที่พระบวรศาสนาแยกไปเสียให้พ้นจากการเมืองจะดีกว่า ไม่ทราบว่าทุกท่านในที่นี้เห็นด้วยอย่างเดียวกับข้าพเจ้าหรือเปล่าอันนี้ข้าพเจ้าถามนักเรียนไทย (เสียงปรบมือ) ขอบคุณมาก ผู้เชี่ยวชาญทางประวัติศาสตร์บอกว่า พระบวรพุทธศาสนาเป็นศาสนาของชาวไทยมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย พระเจ้าแผ่นดินองค์แรกๆ ของสุโขทัย เวลาจะขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินก็จะต้องกล่าวคำปฏิญาณว่าจะทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาไว้ด้วยชีวิต ซึ่งเดี๋ยวนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์นี้ก็เช่นกัน ก็ยังถือธรรมเนียมเหมือนอย่างคนไทยทั้งหลายถือ ว่าพระบวรพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ล้ำค่าของชีวิตคนไทยที่จะพึ่งพาเวลามีปัญหาเกิดขึ้นอะไรกับชีวิต พระบวรพรนะพุทธศาสนาเป็นแสงสว่าง เพราะฉะนั้น ไม่มีวันให้สลายหรือล่มลงไปเป็นอันขาด และดินแดนของชาวพุทธนี้ ชาวพุทธได้ทำชื่อเสียงมากมาย เช่น ตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 ข้าพเจ้าได้ที่ข่าวว่า เชลยศึกสมัยที่ตอนนั้นทางญี่ปุ่นได้ยึดครองประเทศไทย เชลยศึกต่างชาติได้รับการช่วยชีวิต ได้รับการป้อนน้ำ เสี่ยงกับชีวิตตนเอง และป้อนอาหาร ซ่อนตัวเขาด้วย ที่พูดอย่างนี้ ไม่อยากจะทำให้ใครต้องเสียใจ แต่พูดให้ทราบความจริงว่าบรรพบุรุษของไทยเรา แม้แต่ในที่ผ่านมาไม่เท่าไหร่ไม่กี่ปี ก็ยังปฏิบัติตนทำให้ต่างประเทศชื่นชมและนับถือประเทศไทย และน้ำใจของคนไทยที่มีความเมตตากรุณา และมีความกล้าหาญ ที่จะเเสดงความเมตตากรุณราด้วย อันนี้ขอให้ท่านคิดดูดีๆ และชาวต่างประเทศมาพูดกับข้าพเจ้า ที่เขาชอบกรุงเทพมหานครเหลือเกิน เพราะว่าเมืองหลวงของประเทศไทยน่ามหัศจรรย์ โบสถ์พุทธ์ โบสถ์พราหมณ์ โบสถ์คริสต์ สุเหร่าอิสลาม ทุกศาสนาอยู่ใกล้เคียงกัน ไม่เคยมีใครคิดไปวางระเบิดหรือไปรบกวนศาสนาอื่นเลย ให้อิสระ สิทธิเสรีภาพในการจะนับถือศาสนาใดก็ได้ ซ้ำสนับสนุน นี่แหละฝรั่งเขาบอก คือการปฏิบัติต่อกันของคนที่มีความเจริญอย่างแท้จริง เจริญสุดทางด้านจิตใจ อันนี้น่าชื่นใจมาก ถึงเวลาสวดของใคร ใครก็ไป ถึงเวลาใครทำพิธีของใครก็ไป โดยไม่ไปรังแกซึ่งกันและกัน อันนี้ต่างประเทศเขาบอก ยอดสุดๆ คนไทย ข้าพเจ้าก็คิด พูดเฉพาะกับท่านว่า 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ถือจะเป็นกรณีพิเศษ นักเรียนไทยที่เยอรมันก็ฮากันตูมลั่น เพราะว่าเขาก็จะไป เขาก็จะฆ่าพระ รังแกพระไม่ให้ออกบิณฑบาตร ไม่เหมือนกับคนไทยทั้งชาติที่เคยทำมา พวกเราต้องมีอารมณ์เย็น เราไม่เคยไปเบียดเบียนรักแกอะไรใคร ที่เกี่ยวข้องกับศาสนา ความเชื่อของแต่ละบุคคล เราถือว่าทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเต็มที่ในการจะเชื่อในศาสนาใดก็ได้ทั้งนั้น แต่ว่าถ้ามากเกินไปก็ต้องคอยเตือน แต่ก็น่าเศร้าใจ วันเสาร์ที่ 21 ข้าพเจ้าไปเที่ยวสวนป่าเทกึงเซ่ ที่มิวนิก นั่งรถไปชั่วโมงกว่า อันนี้กงสุลกิติมศักดิ์เห็นว่าข้าพเจ้าเหนื่อยมา ก็อยากให้ไปเห็นนอกเมืองของมิวนิก ไปเห็นป่าซึ่งสวยงามมาก ได้ไปเห็นแม่น้ำ มีคณะนักเรียนมาร้องเพลงและเล่นดนตรีต้อนรับ มีนั่งรถม้าชมป่า เป็นป่าที่มีต้นไม้ใหญ่ ร่มรื่นมาก วันอาทิตย์ที่ 22 ข้าพเจ้าจึงเดินทางกลับประเทศไทย ที่โรงแรมก็มีคนไทยและครอบครัวมาส่งมากมายเช่นเดิม และสนามบิน มีวงดนตรีของรัฐบัลแวเรีย มาบรรเลง มีทหารตั้งแถวส่งถึงบันไดเครื่องบินเลย ข้าพเจ้าได้พบคนไทยที่ไปทำมาหากิน ไปเรียนหนังสือที่รัสเซีย ไปเรียนหนังสือที่ออสเตรียแล้วแต่งงานกับคนออสเตรีย คนเยอรมัน ทุกคนมีความสุข หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ข้าพเจ้าคิดว่า คงเป็นด้วยเป็นชาติที่ไม่เคยเป็นเมืองขึ้นเลย เคยเป็นชาติไทยยังไงอยู่อย่างนั้น มีศักดิ์ศรีของชาติ มีความเป็นไทยอันนี้สำคัญมาก แล้วก็ทุกคนแน่ใจว่า เรามีบ้านเมืองของเราที่พร้อมจะให้กลับมาพักพิง เมื่อไปต่างประเทศ คนต่างประเทศ ไม่สามารถดูถูกเราได้ เพราะเราไม่ได้ไปอาศัยบ้านเมืองของเขา เพราะเรามีประเทศชาติของเรา ที่คนไทยเรากลับมาพักพิงได้ เพราะบางประเทศข้าพเจ้าได้ข่าวว่า คนที่ไปอยู่ต่างประเทศก็จะโดนรังแก บางครั้งถึงโดนฆ่า เพราะเขาถือว่าไปแย่งอาชีพของเขา แต่ว่าประเทศไทยเรานี้ไม่มีใครโดนรังแก เพราะมีเมืองไทยอยู่อย่างนี้รอรับ ทุกคนเป็นคนไทยมีบ้านเมืองของตนเองอยู่ จะกลับเมื่อไหร่ก็ได้ อันนี้มีความสำคัญมาก เมื่อครั้งข้าพเจ้ากลับมาอยู่ชั้นประถมที่โรงเรียนเซนต์ฟรัง แม่ชีที่เซนต์ฟรังถึงแม้ว่าจะเป็นคริสต์ ร้องเพลงชักจูงให้เด็กๆ รักธรรมชาติ รักความสะอาดสิ่งแวดล้อม และก็รักประเทศไทย เพราะว่าประเทศไทยเรางดงามครามครัน คือนาไร่อุดมสมบูรณ์ เขาเขียวเรียงราย น้ำไหลชุ่มชื่น อันนี้ข้าพเจ้าจำตั้งแต่โรงเรียนเซนต์ฟรัง ซิสเซเวียร์ ตั้งแต่อายุน้อยๆ ได้ยินแล้วซึ้งใจยิ่งตอนแก่นี้ซึ้ง แหมโรงเรียนฝรั่งนี้เค้ามาเปิดโรงเรียน แต่เค้าสอนให้เด็กนักเรียนไทย รักบ้านรักเมือง ให้รู้อะไรที่มีคุณค่า เกี่ยวกับการปลูกต้นไม้อะไรต่างๆ เกี่ยวกับไร่นาข้าวปลามีอยู่อย่างสมบูรณ์ ให้หลับตานึกถึงบุญคุณของประเทศชาติ ข้าพเจ้ารู้สึกบุญคุณของ โรงเรียนเซนต์ฟรัง ซิสเซเวียร์ ซึ่งเป็นคาทอลิก แต่เนี้ยะน้ำใจของเขา เมื่อข้าพเจ้าแต่งงานก็ได้เห็น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเอาพระทัยใส่ในทุกข์สุขของราษฎรทุกขณะ ทรงคิดถึงแต่ประโยชน์ของประชาชน ทรงสอนข้าพเจ้า และลูกๆ ทุกอย่าง เช่น สอนถึงประโยชน์ของป่าชายเลน ว่าป่าชายเลนต้องระวังให้ดี เป็นแหล่งวางไข่ของสัตว์น้ำ พวกกุ้ง หอย ปู ปลา ที่ยังเป็นตัวเล็กตัวน้อย ได้อาศัยอยู่ที่ป่าชายเลนนี้ จนกว่าจะเติบโตแข็งแรง ฉะนั้นคุณค่าของป่าชายเลนมีมาก ต้องช่วยกันเก็บรักษาไว้ให้ดี ก็ขอให้ทางรัฐบาลช่วยด้วย ขอให้ทุกท่านช่วยด้วย ต่อมาข้าพเจ้าก็นำมาถ่ายทอดสู่ประชาชน ให้ช่วยกันรักษาป่า รักษาแหล่งน้ำ รักษาความสะอาด รักษาสิ่งแวดล้อม ได้ผลมั่งไม่ได้ผลมั่งตลอดเวลาเวลานี้ ตั้งแต่สาวๆ จน 75 เนี้ยะท่าน และอีกอย่างขอวอนรัฐบาล และขอวอนทางทุกท่านหมดเลย ว่าขอให้ช่วยกันรักษาแม่น้ำต่างๆ ไว้ด้วย โดยเฉพาะแม่น้ำเจ้าพระยาก็ขอให้คนกรุงเทพฯ ช่วยกันรักษา เพราะว่าแต่ก่อนแม่น้ำเจ้าพระยานี้ เรียกว่าเป็นแหล่งอาหารที่ยอดของคนทั้งหลาย และขอให้ช่วยกันประหยัดแล่งน้ำจืด ก็คือแม่น้ำเจ้าพระยาก็เป็นน้ำจืด ให้ใช้น้ำจืดอย่างรู้คุณค่า ตอนข้าพเจ้าเด็กๆ ยังเห็นชาวบ้านที่เค้าอยู่ในเรือขายข้าว เค้าตักน้ำเจ้าพระยาแล้วเค้าก็รับประทานไปอย่างนั้นเลย เพราะน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาขณะนั้นสะอาดมาก เดี๋ยวนี้คงแย่แล้ว ที่แย่ที่สุดคือ พันธุ์ปลาตายไปแยะแล้ว สูญสิ้นซึ่งพันธุ์ปลา ขอวอนให้ท่านช่วยกันหันกลับมารักษาสิ่งแวดล้อม เช่นป่า เช่นแม่น้ำลำธารต่างๆ ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณท่านทั้งหลายที่มาให้พรและให้กำลังใจในวันนี้ ข้าพเจ้าขอให้กำลังใจทุกท่านเช่นเดียวกัน ไม่ว่าประเทศของเราจะเผชิญภาวะเศรษฐกิจอย่างไร หรือต้องเผชิญอุปสรรคหนักหนา สาหัสสากรรณ์เพียงไหน ขอให้คนไทยรวมกำลังใจที่จะช่วยกันฝ่าฟันไปเพื่อความมั่นคงของแผ่นดินไทย เพื่อความผาสุกของราษฎรไทยด้วยกัน คนไทยด้วยกันแล้วก็ชาติเดียวกันเปรียบเสมือนอยู่ในเรือลำเดียวกัน ถ้าต่างคนต่างพายไปคนละทาง เรือก็ไม่ไปถึงไหน เรือชาติอื่นเขาก็แซงหน้าเรากันไป แต่ถ้าเราช่วยกันพายไปในทิศทางเดียวกัน เรือของประเทศไทยจะแล่นฉิว เพราะฝีมือของคนไทยไม่เป็นรองใครเลย ขอให้พรทุกประการที่ท่านทั้งหลายให้แก่ข้าพเจ้าในวันนี้จงตอบสนองทุกท่าน ขอให้ประชาชนชาวไทยมีความรักใคร่ปรองดองกัน จับมือกันเดินไปสู่ความเจริญก้าวหน้า แต่ไม่ละเลยที่จะช่วยกันทะนุถนอมแผ่นดินไทยให้คงอยู่ด้วยความเขียวชอุ่ม อุดมสมบูรณ์ ให้สมกับคำโบราณที่ว่า ในน้ำก็มีปลา ในนาก็มีข้าว ถ้าเรากินใช้แต่พอสมควรไม่มากเกินไป ทรัพยากรไทยจะมีเหลือไว้เจือจุนถึงลูกถึงหลาน ไม่สร้างพิษภัยให้แก่ชาวโลกด้วย ข้าพเจ้าขอขอบคุณท่านทั้งหลายที่รับฟังข้าพเจ้ามาเป็นเวลานาน ขอให้ทุกท่านเดินทางกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ ทั้งนี้ พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้เป็นตัวแทนคณะบุคคล กล่าวถวายพระพรชัยมงคล ดังต่อไปนี้ ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ในนามของพสกนิกรทุกหมู่เหล่า สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้พระราชทานพระราชวโรกาสให้ปวงข้าพระพุทธเจ้าเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาในวันนี้ ปวงชนชาวไทยมีความเคารพเทิดทูนและศรัทธาแน่นแฟ้นในสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันหลักคู่บ้านคู่เมืองมาเป็นเวลาช้านาน แผ่นดินไทยมีความเจริญรุ่งเรืองมาจวบจนทุกวันนี้ เนื่องด้วยมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นหลักชัยในรัชสมัยปัจจุบัน ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงปฏิบัติบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการเคียงข้างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท ได้รับสนองพระราชประสงค์ก่อตั้งโครงการตามแนวทางพระราชดำริ สร้างสรรค์ความอุดมสมบูรณ์ และนำความเจริญพัฒนาที่ยั่งยืนมาสู่แผ่นดิน รวมทั้งทรงริเริ่มโครงการ อันเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ และประชาชน เป็นจำนวนมาก พระราชกรณียกิจทั้งปวง ที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ได้ทรงบำเพ็ญนับเนื่องมาเกือบ 6 ทศวรรษ ทั้งการโดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วราชอาณาจักร การเสด็จพระราชดำเนิน ไปทรงเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ ตลอดจนพระราชกรณียกิจด้านการศึกษา การสาธารณสุข การศาสนา การสังคมสงเคราะห์ การอนุรักษ์และเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติ การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ล้วนเป็นสิ่งที่แซ่ซ้องสรรเสริญทั้งในประเทศและในนานาประเทศ นำเกียรติอันยิ่งใหญ่มาสู่ประเทศและประชาชนชาวไทย ในภูมิภาคที่ประสบวิกฤตภัย ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้ทรงพระกรุณาพระราชทานพระราชานุเคราะห์ ทรงปลุกปลอบขวัญ พระราชทานกำลังใจ ให้ยึดมั่นในความดีงาม ร่วมแรงร่วมใจ ร่วมพลังขจัดภยันตราย และรักษาชาติ รักษาแผ่นดินให้พ้นภัย ข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงล้วนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม หาที่สุดมิได้ ณ มหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาใน พุทธศักราช 2550 นี้ ปวงข้าพระพุทธเจ้า พร้อมใจกันขอตั้งสัตติยาธิษฐาน จะบำเพ็ญคุณความดีเพื่อทดแทนบุญคุณของแผ่นดินสนองพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทตลอดไป พร้อมทั้งขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและพลานุภาพแห่งสรรพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากล โปรดอภิบาลบำรุงรักษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชนินีนาถ ให้ทรงพระเจริญเพียบพร้อมด้วยจตุพิธพรชัยทรงพระเกษมสำราญ ปราศจากโรคพยาธิภัย พระพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ พระเกียรติคุณเจิดจำรัสแผ่ไพศาลทุกทิศานุทิศ มีพระราชประสงค์จำนงค์ใดจงสัมฤทธิ์สถิตเป็นพระมิ่งขวัญร่มเกล้าปวงข้าพระพุทธเจ้า ตราบจิรัตติกาลเทอญ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
|