(๑) พระภิกษุถูกมองว่าเป็นคนนอก (Outsider)
คำว่า "พระพุทธศาสนาแบบเดิม" ไม่ได้หมายถึงพระพุทธศาสนาดั้งเดิมเสียทั้งหมด แต่หมายรวมพระพุทธศาสนาดั้งเดิม เถรวาท มหายาน หรือแม้กระทั่งตันตระที่เน้นรูปแบบวัด มีพระสงฆ์เป็นสัญลักษณ์ในด้านศาสนบุคคล มีวัดเป็นสัญลักษณ์ในด้านศาสนสถาน พระสงฆ์มีวิถีชีวิตแยกจากสังคม
ความจริงวิถีชีวิตที่แยกจากสังคมฆราวาสนี้ เป็นรูปแบบที่พระพุทธเจ้าทรงกำหนดไว้สำหรับภิกษุในสมัยพุทธกาล และไม่ได้กำหนดให้ใครต้องมาปฏิบัติ แต่ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของแต่ละบุคคล และเมื่อเข้ามาบวชเป็นพระ ปฏิบัติอยู่ในกรอบพระวินัย แยกตัวออกจากสังคมแล้ว พระพุทธเจ้าไม่ได้ประสงค์จะให้แยกตัวเองจากสังคมอย่างที่นักวิชาการปัจจุบันวิจารณ์กัน พระพุทธองค์ทรงประกาศเป็นอุดมการณ์พระพุทธศาสนาเลยว่า "พวกเธอจงจาริกไปแสดงธรรมเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ชาวโลก" แต่กรอบที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้นี้ กลับถูกบิดเบือน พระสงฆ์ในยุคหลังเหินห่างจากสังคม ทำให้เกิดข้อวิจารณ์เป็นคนนอกสังคม
อะกิซูกิ เรียวมินมองว่า ภารกิจของพระสงฆ์ในญี่ปุ่นในยุคของท่านนั้น ในด้านสังคม จำกัดอยู่ในกรอบเกินไป ทำวัตรสวดมนต์ เป็นผู้นำในการประกอบพิธีมงคลและอวมงคล จึงมีคำกล่าวว่า "ถ้าชาวบ้านไม่จัดงาน พระสงฆ์ก็ไม่มีงานทำ" เรียวมินไม่เห็นด้วยการจัดพิธีศพตามรูปที่จุดอยู่ในปัจจุบัน เพราะไม่ใช่ประเพณีที่สืบทอดมาจากพระพุทธศาสนาดั้งเดิม พิธีศพเป็นกิจกรรมไว้ทุกข์สำหรับบั้นปลายชีวิต จิตใจของสัมพันธชนอยู่ในภาวะไม่ปกติ เปลี่ยนแปลงได้ง่าย น่าจะถือโอกาสประกาศธรรมมากกว่าทุ่มเทให้กับการจัดพิธีกรรม พระสงฆ์ต้องหมกมุ่นอยู่กับการนำประกอบพิธีกรรม พลาดโอกาสที่จะประกาศธรรม
(๒) พระภิกษุอึดอัดกับสถานะของตนที่สังคมมอบให้ (Society-fixed Status)
ชาวมหายานโดยรวมมองเห็นว่า "พระพุทธดำรัสที่ว่า ถ้ามีความประสงค์ จะถอนสิกขาบทเล็กน้อยบ้างก็ได้" เป็นการเปิดโอกาสให้พระสงฆ์ปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของโลก มีหลักฐานชัดเจนอยู่แล้วว่า วินัยหรือสีลสิกขาบทของพระภิกษุ ๒๒๗ ข้อ หรือของพระภิกษุณี ๓๑๑ ข้อ มีผลทั้งเชิงลบและเชิงบวก ถ้ารักษาดีไม่ขาด ไม่ด่างพร้อย สีลสิกขาบทก็จะเป็นตัวเร่งให้บรรลุธรรมได้เร็วยิ่งขึ้น ถ้ารักษาไม่ดี มีความด่างพร้อย สีลสิกขาบทนั้นจะกลายเป็นอันตรายิกธรรม ขัดขวางการบรรลุธรรม วินัยของพระสงฆ์จึงอยู่ในฐานะเป็นทั้งอุปกรณ์และอุปสรรคในขณะเดียวกัน
อีกประเด็นหนึ่งที่ชาวมหายานโดยรวมมอง คือ รูปแบบพระวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้นั้น เหมาะสำหรับฤาษีชีไพรที่จาริกอยู่ในแดนดงเท่านั้นไม่เหมาะสำหรับนักบวชผู้ใกล้สังคมเช่นปัจจุบัน พระสงฆ์มีภาระต้องทำหลายอย่างในขณะเดียวกัน คือ
(๑) ดำรงตนเป็นปูชนียบุคคลให้พุทธบริษัทกราบไหว้
(๒) รักษาสีลสิกขาบทและปฏิบัติระเบียบธรรมเนียมสงฆ์
(๓) ปฏิบัติตามกฎหมายของบ้านเมือง
(๔) ประกาศธรรม อบรมสั่งสอนประชาชน
พระสงฆ์บางกลุ่มจึงรู้สึกอึดอัดกับสถานะของตน เพราะมีภาระหลายอย่างในขณะเดียวกัน ไม่สามารถปฏิบัติตามกฎข้อบังคับหลายส่วนที่ดูเหมือนจะแย้งกับธรรมชาติของสามัญชน เกิดภาวะหลอกตัวเองอย่างสุดโต่ง (Absolute Hallucination)
ข้อจำกัดเหล่านี้ แม้จะไม่ได้เป็นอุปสรรคโดยตรง แต่ไม่ได้เป็นอุปกรณ์โดยตรงเช่นกัน จะเป็นอุปสรรคหรืออุปกรณ์ขึ้นอยู่กับวิธีการประยุกต์ของแต่ละบุคคล การถูกยกให้อยู่บนหิ้งบูชาโดยปราศจากการเอาใจใส่จากคนที่ยก เหมือนกับการตั้งพระพุทธรูปไว้บนห้องโดยไม่ปราศจากการทำความสะอาดเช็ดถู แต่พระสงฆ์ไม่ใช่พระพุทธรูป การปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมก็ดี การแสวงหาในสิ่งที่ตนประสงค์ก็ดี การต่อสู้กับอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ก็ดี เป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต ถ้ามีปัญหาในพฤติกรรมเหล่านี้ มนุษย์มีปัญหาแน่นอน
พระพุทธศาสนาสำหรับโลกหลังยุคใหม่ |
พระพุทธศาสนามหายาน ถือเป็นกระแสแนวคิดที่แปลกออกไปจากพระพุทธดั้งเดิม ปราชญ์ฝ่ายมหายานนิยมที่จะมองและวิเคราะห์ทุกประเด็นที่พระพุทธเจ้าหรือพระสาวกรุ่นแรกสอนไว้ วิธีการมองโลกแบบมองต่างมุมสมควรถือเป็นแบบในการดำรงชีวิตอย่างยิ่ง เช่นวิธีการที่เรียกว่า "หนึ่งน้ำ สี่มุมมอง(one water, four ways ofseeing)" สมมติว่ามีสายน้ำทอดยาวอยู่ข้างหน้า มนุษย์มองเห็นเป็นน้ำ เปรตมองเห็นเป็นน้ำหนองและเลือด ปลามองเห็นเป็นที่อยู่อาศัย เทพธิดามองเห็นเป็นที่เต็มไปด้วยอัญมณีหลากชนิด
จุดเด่นของมหายานอยู่ที่การมองปัญหา วิเคราะห์แล้วพัฒนาต่อ มีความกล้าในเชิงวิชาการ ในขณะเดียวกันก็ตั้งประเด็นแบบปลายเปิดตลอดเวลา จึงไม่เป็นที่สงสัยว่า พระพุทธศาสนาแบบตันตระเกิดขึ้นในยุคต่อมา ซึ่งถือเป็นพัฒนาการต่อจากมหายาน มีคำถามเสมอว่า "แนวคิดมหายานมีความเป็นพระพุทธศาสนาจริงแท้(authenticity)หรือไม่ เพียงไร ?"
ปราชญ์ฝ่ายมหายานไม่ได้ตอบคำถามนี้โดยตรง แต่นิยมที่จะชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพัฒนาการแห่งคัมภีร์พระพุทธศาสนา นักวิเคราะห์มหายานบอกว่า คัมภีร์พระพุทธศาสนามีพัฒนาการ ๓ ยุค คือ
(๑) ยุคมุขปาฐะ ระยะการสืบทอดพระธรรมวินัยโดยระบบปากต่อปาก ผู้มีบทบาทสำคัญมี ๓ รูป คือพระพุทธเจ้า พระอานนท์ และพระอุบาลี
(๒) ยุคพระสูตร ระยะการสืบทอดพระธรรมวินัยโดยการรวบรวมร้อยเรียงเป็นพระสูตร ผู้มีบทบาทสำคัญมี ๓ รูป คือ พระมหากัสสปเถระ พระอุบาลี และพระอานนท์ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน ๓ เดือน พระมหากัสสปเถระเป็นประธานจัดปฐมสังคายนา ร้อยเรียงพระธรรมเทศนาเป็นพระสูตร รวบรวมพระวินัยเป็นหมวดหมู่
(๓) ยุควิชาการ ระยะการสืบทอดพระธรรมวินัยโดยการแต่งคัมภีร์พระพุทธศาสนา ผู้มีบทบาทสำคัญมี ๓ ท่าน คือ พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ พระมัชฌันติกะ และพระมหาเทวะ
มหายานสนใจในประเด็นพัฒนาการแห่งคัมภีร์จากยุคที่ ๑ ถึงยุคที่ ๒ โดยตั้งข้อสังเกตว่า "ในระยะที่มีการรวบรวมร้อยเรียงพระธรรมวินัยขึ้นเป็นพระสูตรนั้น มีสาระสำคัญแห่งพุทธธรรมบางตอนสูญหายไปหรือไม่ ? พระเถระทั้งหลายแน่ใจได้อย่างไรว่า ไม่มีสาระสำคัญแห่งพุทธธรรมบางตอนหายไป ?" นี่เป็นประเด็นที่มหายานตั้งข้อสังเกตไว้ ต่อจากนั้น ปราชญ์มหายานจึงตอบคำถามเกี่ยวกับความเป็นพระพุทธศาสนาจริงแท้ ๒ ประเด็น ดังนี้
(๑) แนวคิดมหายานเป็นพระพุทธศาสนาจริงแท้โดยธรรมชาติ สุภาษิตธรรมที่แท้ไม่ว่าจะประกาศโดยบุคคลใดก็ตาม ย่อมคงความเป็นสุภาษิตธรรม มหายานแม้จะแสดงแนวคิดใหม่ แต่ยังรักษาหลักการเดิมแห่งพระพุทธศาสนาไว้ แปลกกันแต่ว่าวิธีการแบบมหายานมีความหลากหลายไปตามบริบทของสังคม
(๒) มหายานนำแนวคิดที่เป็นพระพุทธศาสนาจริงแท้ออกมาเผยแผ่แก่ชาวโลก นั่นคือ แนวคิดปรัชญาปารมิตา ซึ่งสูญหายไปในระหว่างการสืบทอดพระธรรมวินัยจากยุคมุขปาฐะถึงยุคพระสูตรพระพุทธศาสนามหายานแม้จะมีลักษณะแปลกแยกอยู่มากในเชิงศาสนา แต่ในเชิงวิชาการปรัชญาไม่ถือว่าเป็นลักษณะแปลกแยก สิ่งที่ถือว่าผิดปกติในเชิงวิชาการคือ ความเหมือนกัน นักวิชาการถือว่าโลกและปรากฏการณ์มีลักษณะ(Appearance, Characters)แตกต่างกันโดยธรรมชาติ แต่ดำรงอยู่ได้เพราะทุกอย่างมีภาวะ(Being, Essence)เหมือนกัน ความโดดเด่นของมหายานอยู่ตรงนี้ สรรพสัตว์มีพุทธภาวะเหมือนกัน สรรพสิ่งรวมอยู่ด้วยกันโดยเอกสัตยธรรมธาตุ โลกตั้งอยู่ได้เพราะสรรพสิ่งถูกร้อยรัดรวมกันไว้โดยเอกสัตยธรรมธาตุ
โลกของมหายานน่าสนใจ ประชาชนในสหรัฐอเมริกา หรือในประเทศยุโรปรู้จักพระพุทธศาาสนามหายานและรู้อย่างลึกซึ่ง ทั้งศึกษาและปฏิบัติกรรมฐานแบบมหายาน แต่ถ้าถามพวกเขาว่า "พระพุทธศาสนาเถรวาทคืออะไร ?" พวกเขาจะตอบว่า พระพุทธศาสนาเถรวาทคือพระพุทธศาสนาที่ฝ่ายพระมหากัสสปเถระและคณะประกาศเผยแผ่ เน้นวิธีการเฉพาะตัว เป็นพวกอนุรักษ์นิยม เรียกว่า พระพุทธศาสนาหินยาน การตอบอย่างนี้แสดงว่า เถรวาทหรือหินยานมีความเป็นพระพุทธศาสนาไม่ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนโดยตรง แต่เป็นสิ่งที่พระมหากัสสปเถระสอน โลกตะวันตกรู้มหายานมากกว่ารู้เถรวาท ความลึกซึ้งและความรุ่งเรืองของมหายานจึงโดดเด่นในโลกตะวันตกตลอดมา
แนวคิดพื้นฐานในการสร้างมหายานใหม่ |
(๑) สร้างแนวคิดกำจัดความเข้าใจผิดที่ว่า มหายานไม่มีพระพุทธเจ้า เนื่องจากพระพุทธศาสนามหายานเกิดขึ้นหลังพุทธปรินิพพานหลายร้อยปี โลกตะวันตกรู้จักพระพุทธศาสนาจากญี่ปุ่นและทิเบต ซึ่งเป็นรูปแบบแห่งพัฒนาการขั้นสุดท้ายแห่งพระพุทธศาสนา เซนในญี่ปุ่นเป็นพัฒนาการขั้นสุดท้ายแห่งพระพุทธศาสนาที่เหมาะแก่ชาวตะวันออก ในขณะที่ตันตระในทิเบตเป็นพัฒนาการขั้นสุดท้ายแห่งพระพุทธศาสนาแบบอินเดียแท้
นักปราชญ์ตะวันตกวิจารณ์ว่า พระพุทธศาสนาแผ่เข้าไปในญี่ปุ่น ๒ ครั้ง คือ
ครั้งที่ ๑ ยุคจักรพรรดิกิมเมอิ ประมาณ พ.ศ. ๑๐๘๘ พระพุทธศาสนาแผ่เข้าญี่ปุ่นผ่านทางเกาหลี โดยกษัตริย์เกาหลีพระนามว่า เซียงเมียงแห่งปักเซ ส่งพระพุทธรูปและคัมภีร์เข้าไปก่อน ประมาณ พ.ศ.๑๑๓๕ จักรพรรดินีซูอิโกและเจ้าชายโชโตกุ สืบทอดเจตนารมณ์ต่อมา
ครั้งที่ ๒ ยุคเมยี ประมาณ พ.ศ. ๒๔๑๑ สมัยจักรพรรดิเมยีถือเป็นการสิ้นสุดอำนาจโชกุนหลังจากที่ปกครองแบบปิดประเทศอยู่ประมาณ ๓๐๐ ปี(ระหว่าง พ.ศ.๒๑๔๖-๒๔๑๐) โชกุนใช้อำนาจริดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการนับถือศาสนา ทำให้เกิดปฏิกิริยาและในที่สุดก็ต้องถวายอำนาจคืนแด่องค์จักรพรรดิ
เมื่อจักรพรรดิกลับมาดำรงฐานะเป็นโอรสแห่งสวรรค์ดังเดิม ประชาชนจึงมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา หลักศรัทธาและปรัชญา ชาวพุทธทั้งฝั่งโลกตะวันตกและตะวันออกมีโอกาสประกาศแนวคิดเชิงศาสนาในญี่ปุ่นมากขึ้น
รัฐบาลเมยีประกาศรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา ประกาศสนับสนุนชินโต แม้จะไม่สนับสนุนพระพุทธศาสนา แต่ได้ห้ามเผยแผ่พระพุทธศาสนา มีการตั้งสถาบัน "ไดเกียวยิน" ขึ้นเพื่อเป็นแหล่งรวมแห่งนักบวชชินโตกับภิกษุในพระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนาที่แผ่เข้ามาในญี่ปุ่นยุคแรก ถือเป็นมหายานแบบเดิมที่ยึดมั่นในรูปแบบมากกว่าที่จะคำนึงถึงสภาพที่แท้จริงแห่งบริบททางสังคม ที่เจริญรุ่งเรืองอยู่ได้เพราะได้รับความอุปถัมภ์จากชนชั้นปกครอง
พระพุทธศาสนาที่แผ่เข้ามาในญี่ปุ่นสมัยที่ ๒ นี่เอง คือคำสอนของพระศากยมุนีแท้จริง ถามว่า"เพราะเหตุไร ?" นักปราชญ์ตะวันตกจึงวิจารณ์ว่า พระพุทธศาสนาในญี่ปุ่นยุคแรกนั้น เป็นแบบหินายานซึ่งแบ่งแยกเป็นนิกายและเน้นคัมภีร์ ส่วนพระพุทธศาสนาในญี่ปุ่นยุคที่ ๒ เกิดจากการถ่ายทอดประสบการณ์การตรัสรู้จากจิตสู่จิต และมีหลักการพื้นฐานอยู่ว่า "คนที่รู้แจ้งทุกคนคือพระศากยมุนี" ความเข้าใจที่ว่า "มหายานไม่มีพระพุทธเจ้า" จึงเป็นความเข้าใจผิด เพราะข้อเท็จจริงคือ พระพุทธศาสนามีผู้ก่อตั้งคือพระสิทธัตถะ โคตมะ ศากยมุนี คนอื่น ๆ ที่รู้แจ้งพุทธธรรม คือพระศากยมุนีพุทธบุตร ถือเป็นพระพุทธเจ้าเช่นเดียวกัน มหายานดั้งเดิมมีแนวคิดพื้นฐานอยู่ว่า "ทุกคนมีพุทธภาวะอยู่ในตัว พร้อมที่จะเป็นพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว" แต่มหายานใหม่เน้นหนักยิ่งไปกว่านั้นคือ การศึกษาและปฏิบัติพระพุทธศาสนา ต้องมุ่งที่การค้นหาและสถาปนาตัวเองให้เป็นพระศากยมุนี พระพุทธเจ้ามีอยู่แล้วในตัวเรา ที่ใดมีเรา ที่นั่นมีพระพุทธเจ้า
(๒) เรียนรู้แก่นแท้นิกายของตน เชื่อมสัมพันธ์ในกลุ่มผู้ตั้งนิกาย
เพื่อย้อนกลับไปหาพระศากยมุนีพุทธะ
พระพุทธศาสนามหายานเกิดจากปัจจัยหลายอย่าง ปัจจัยอย่างหนึ่งคือ พระพุทธศาสนานิกายต่าง ๆ ที่เริ่มแตกออกไปตั้งแต่ครวปฐมสังคายนา ต่อมา นักปราชญ์ของแต่ละนิกายรวมกลุ่ม ประสานแนวคิดเข้าด้วยกันเป็นนิกายหนึ่งเดียว เรียกว่า "มหายาน" ต่อมาแตกออกเป็น ๒ นิกาย คือ มาธยมิกะและโยคาจาร แต่เมื่อมหายานแผ่เข้าเข้าไปในจีน มีการแตกเป็นนิกายต่าง ๆ อีก
พระพุทธศาสนาในญี่ปุ่นปัจจุบัน มีหลากหลายนิกายตามจำนวนผู้ก่อตั้ง พระศากยมุนีผู้ตั้งศาสนา ถูกจัดไว้บนหิ้งบูชาเหนือคำสอนของผู้ก่อตั้งของแต่ละนิกาย ซึ่งเริ่มพัฒนาในญี่ปุ่นตั้งแต่ยุคเฮอัน(พ.ศ.๑๓๓๗-๑๗๒๘)และกามากุระ(๑๗๒๘-๑๘๗๖)เป็นต้นมา เมื่อแต่ละนิกายพัฒนาถึงขีดสูงสุด ต่างพ่ายแพ้กันทั้งหมด จึงมีคำกล่าวว่า"ไม่ว่านิกายไหนชนะ พระศากยมุนีทรงรู้สึกละอายทั้งนั้น" นี่คือข้อเท็จจริงในปัจจุบัน
ถามว่า "ภารกิจเบื้องต้นเพื่อการสร้างมหายานใหม่คืออะไร ?"
ภารกิจคือการเชื่อมเป้าหมายสูงสุดของแต่ละนิกายเข้าด้วยกัน รวมกันเข้ามาใหม่(re-unification) แล้วย้อนกลับไปหาพระศากยมุนีพุทธะ ซึ่งไม่ได้หมายถึงพระศากยมุนีพุทธะเชิงประวัติศาสตร์ แต่หมายถึงคนที่ตรัสรู้ทุกคน(for the enlightened, everyone is Sakyamuni) ถ้าเป็นพระพุทธศาสนาที่แท้ในญี่ปุ่นและเหมาะกับโลกหลังยุคใหม่ ต้องเกิดจากการรวมการตรัสรู้(Satori, insight)ของเจ้าชายโชโตกุ, ท่านโดเกน, ชินรัน และนิชิเรนเข้าด้วยกัน
(๓) สร้างระบบสากัจฉากับต่างศาสนา และปลูกฝังแนวคิดศาสนาแห่งมนุษยชาติ
ศาสนาชินโตมีนโยบายหนึ่งเรียกว่า "อาณาเขตความรุ่งเรืองร่วมกันในเอเชียตะวันออก(East Asian Co-Prosperity Sphere) มีการตั้งศาสนสถานชินโตในเกาหลี ไต้หวัน สิงคโปร์ เราจะไม่พูดถึงว่า นโยบายประสบความสำเร็จหรือไม่ แต่ประเด็นการก้าวเข้าไปสู่ระบบสากัจฉากับต่างศาสนาและปลูกฝังแนวคิดศาสนาแห่งมนุษยชาตินั้น ไม่ได้หมายถึงการล้มล้างศาสนาอื่นแล้วส่งเสริมศาสนาที่นับถือเพียงศาสนาเดียว แต่หมายถึงการมุ่งก่อตั้งสภาเพื่อสากัจฉาในกลุ่มศาสนาที่เห็นพ้องต้องกัน และมีจุดประสงค์ต่อไป คือ เปิดเผยพื้นฐานร่วมกันกันออกมา(common ground)
การเปิดเผยพื้นฐานร่วมกันออกมาในกลุ่มศาสนา ไม่ได้ต้องการให้ด่วนสรุปว่า ศาสนาทั้งผองสอนสิ่งเดียวกัน ในด้านสถานภาพของนักบวช สมมติว่าพระคาทอลิคปฏิบัติซาเซน ไม่ได้หมายถึงว่า ท่านจะต้องเปลี่ยนสถานะเป็นพระคาทอลิคและเป็นพระเซนนิกายรินไซในขณะเดียวกัน ในด้านทฤษฎีก็เช่นกัน ระบบสากัจฉาระหว่างพุทธกับคริสต์ ไม่ได้หมายถึงให้พยายามเชื่อมเรื่องอนัตตตา(Nothingness)เข้ากับเรื่องพระเจ้า(God) แต่ให้พยายามประสานประเด็นที่ยืดหยุ่นได้ ศาสนิกของแต่ละศาสนาจะต้องรู้ซึ้งด้วยว่าประเด็นไหนที่ยืดหยุ่นได้(flexible) ประเด็นไหนยืดหยุ่นไม่ได้ (inflexible)
(๔) จัดตัวเองอย่างรู้เท่าทันในโลกหลังยุคใหม่แล้วสร้างพุทธเกษตรเชิงประวัติศาสตร์
นักวิจารณ์ที่ติดตามสถานการณ์ของโลก กล่าวเสมอว่า ปัจจุบันเรากำลังยืนอยู่ที่ธรณีประตูของโลกหลังยุคใหม่ คาร์ล จัสเปอร์ส นักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่แห่งคริสตศตวรรษที่ ๒๐ กล่าวว่า
มนุษยชาติแตกออกเป็น ๒ ยุคหลัก คือ
(๑) ยุคพัฒนาการด้านเกษตรและกำเนิดนครรัฐ
เมื่ออารยธรรมด้านจิตใจสูญหายไป ศาสดาแห่งมนุษยชาติ เช่น โสกราติส ขงจื๊อ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของคนในยุคนั้น
(๒) ยุควัฒนธรรมด้านวัตถุทำให้อารยธรรมด้านจิตใจเริ่มสูญหายไป ปัจจุบันกำลังมีการเรียกร้องหาศาสดาแห่งมนุษยชาติรุ่นใหม่ ซึ่งทุกคนกำลังมองมาที่ซึกโลกตะวันออก
ศาสดาแห่งโลก เช่น พระพุทธเจ้าทรงตอบปัญหาที่คนในยุคที่ ๑ ต้องการแล้ว ถามว่า "ในยุคใหม่นี้ พระพุทธเจ้าองค์ใหม่และพระเยซูองค์ใหม่อยู่ที่ไหน ?" สถานการณ์ในโลกยุคใหม่และโลกหลังยุคใหม่นี้ ต้องไม่ใช่มิติส่วนบุคคล แต่ต้องเป็นมิติส่วนสังคมดังที่กลุ่มนักบวชนิชิเรนทำ สภาพของโลกปัจจุบัน เรายืนอยู่ที่ธรณีประตูแห่งโลกหลังยุคใหม่ และต้องรู้ตัวเองด้วยว่า ขณะนี้ทุกมิติแห่งพฤติกรรม ต้องโอบอุ้มมวลมนุษยชาติ ไม่ใช่ส่วนตัวแล้ว อาจารย์ฮากุอิแห่งรินไซกล่าวว่า "อริยจริยาของพระโพธิสัตว์ เป็นบ่อเกิดแห่งพุทธเกษตร" คำว่า "พุทธเกษตร" โดยนัยที่แท้จริงในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงสวรรค์แดนสุขาวดี แต่หมายถึงดินแดนของพระพุทธเจ้าในโลกนี้ ประเด็นสำคัญอยู่ที่การจัดตัวเองอย่างรู้เท่าทัน ปรับปรุงให้ทันสมัยในสิ่งที่ควรจะปรับปรุงให้ทันสมัย และพยายามเอาชนะความเจ็บป่วยทางใจที่เกิดจากการถือตัว(มีอีโก) หลังจากนั้นจึงสร้างแนวคิดพุทธภาวะมีอยู่ทุกทุกแห่ง
(๕) เคารพวิถีชีวิตแบบนักบวช พร้อมกับสร้างพุทธวิถีแบบฆราวาสขึ้นมา
วิถีชีวิตนักบวชต้องแบ่งเป็น ๒ กลุ่ม คือ
(๑) กลุ่มที่รักษาพระวินัยอย่างเคร่งครัด
(๒) กลุ่มที่ถือบวชแบบครอบครัวดังที่ท่านชินรันกระทำมาแล้ว
กลุ่มที่รักษาพระวินัยเคร่งครัด รักษาวิถีชีวิตสมณะอยู่ในสงฆ์อย่างบริสุทธิ์ สมควรได้รับการเคาครพนับถือบูชา กลุ่มที่ปฏิบัติไม่ได้อย่างนั้นสมควรยอมรับความจริง แยกตัวเองออกมา แต่ไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องถูกตำหนิ แนวทางปฏิบัติคือการสร้างวิถีชีวิตนักบวชอีกแบบหนึ่งขึ้นมา เรียกว่า "พุทธวิถีแบบฆราวาส แต่ถือบวชที่ใจ(homelessness of the heart)" เฉพาะศีลของพระโพธิสัตว์ก็พอเพียงที่จะเป็นภิกษุตามแบบมหายานได้ วิถีแห่งมหายานแบบใหม่คือ การมีชีวิตอยู่อย่างพุทธะในโลกที่ไม่เที่ยงแท้ยั่งยืน ไร้สาระ แม้รูปแบบจะเป็นพระพุทธศาสนาฆราวาส(Lay Buddhism) แต่ไม่มีความแตกต่างระหว่างพระกับฆราวาส สถานภาพของนักวชอยู่ในฐานดังที่ท่านชินรันเรียกว่า "ไม่เป็นพระหรือฆราวาส(neither monk nor laity)" หรือดังที่ประเพณีดั้งเดิมของเทนไดว่า "เพียงกฎของมหายาน(Mahayana rule alone)"
สร้างแนวคิดกำจัดความเข้าใจผิดที่ว่า มหายานไม่มีพระพุทธเจ้า |
ประเด็นสำคัญอยู่ที่ความเชื่อมั่นของมหายานเองใน ๒ เรื่อง คือ
(๑) พระพุทธเจ้าทรงมีกาย ๓ คือนิรมาณกาย สัมโภคกาย และธรรมาย
(๒) สรรพสัตว์มีพุทธภาวะอยู่ในตัว
ประเด็นที่ ๑ พระพุทธเจ้าทรงมีกาย ๓ โดยเฉพาะธรรมกาย ซึ่งถือว่าปรากฏอยู่ในทุกหนทุกแห่ง และตลอดเวลา แม้พระพุทธเจ้าในรูปนิรมาณกายจะปรินิพพานไปนานแล้ว แต่ไม่ได้สูญหายไปไหน ยังคงประทับอยู่ในพุทธเกษตรในรูปธรรมกาย และมีสัมโภคกายเป็นจุดเชื่อมต่อกับพระโพธิสัตว์ และจากพระโพธิสัตว์มาสู่มนุษย์ตลอดเวลาและสถานที่
ประเด็นที่ ๒ อยู่ที่หลักการพื้นฐานว่า "คนที่รู้แจ้งทุกคนคือพระศากยมุนี" และแนวคิดพื้นฐานว่า "ทุกคนมีพุทธภาวะอยู่ในตัว พร้อมที่จะเป็นพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว" การศึกษาและปฏิบัติพระพุทธศาสนา ต้องมุ่งที่การค้นหาและสถาปนาตัวเองให้เป็นพระศากยมุนี พระพุทธเจ้ามีอยู่แล้วในตัวเรา ที่ใดมีเรา ที่นั่นมีพระพุทธเจ้า
ผู้เขียนเห็นว่า ถ้ามีความเชื่อมั่นใน ๒ ประเด็นนี้ การสร้างแนวคิดที่ ๑ ก็ไม่มีความจำเป็น ปัญหาที่มหายานถูกกล่าวหาว่าไม่มีพระพุทธเจ้าอยู่ที่ความเข้าใจไม่ตรงกันระหว่างคน ๒ กลุ่ม กลุ่มหนึ่งเข้าใจพระพุทธเจ้าในฐานะบุคคลในประวัติศาสตร์ อีกกลุ่มหนึ่งเข้าใจพระพุทธเจ้าในฐานะเป็นอนุตตรภาวะ
ประเด็นที่ควรนำมาเป็นเกณฑ์ในการกำหนดว่านิกายไหนมีพระพุทธเจ้า นิกายไหนไม่มี คือ พระพุทธดำรัสที่ตรัสกับพระอานนท์ ปรากฏในมหาปรินิพพานสูตร พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรคว่า
อานนท์ บางทีพวกเธออาจจะคิดว่า ปาพจน์มีพระศาสดาล่วงลับไปแล้ว พวกเราไม่มี พระศาสดา ข้อนี้พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น ธรรมและวินัยที่แสดงแล้วบัญญัติแล้ว แก่เธอทั้งหลาย หลังจากเราล่วงลับไป ก็จะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย |
สรุปได้ชัดเจนว่า "พระธรรมวินัยนั่นแหละคือพระพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้าคือพระธรรมวินัย" ถ้าใช้เกณฑ์นี้จะกำหนดได้เลยว่า นิกายไหนมีพระพุทธเจ้า นิกายไหนไม่มีพระพุทธเจ้า ถ้าแนวคิดเกี่ยวกับธรรมกายและพุทธภาวะภายใน ไม่สามารถแก้คำกล่าวหาดังกล่าวได้ ควรสร้างแนวคิดอิงพระธรรมวินัยจะดีกว่า เพราะมีหลักฐานชัดอยู่แล้วในพระไตรปิฎก
เรียนรู้แก่นแท้นิกายของตน เชื่อมสัมพันธ์ในกลุ่มผู้ตั้งนิกาย |
เพื่อย้อนกลับไปหาพระศากยมุนีพุทธะ |
บ่อเกิดพระพุทธศาสนามหายานชัดเจนที่สุดคือ นักปราชญ์ของแต่ละนิกายรวมกลุ่ม ประสานแนวคิดเข้าด้วยกันเป็นนิกายหนึ่งเดียว เรียกว่า "มหายาน" เมื่อมหายานเกิดจากหลานนิกาย เป็นไปได้ยากที่จะรวมให้เหลือหนึ่งเดียว มหายานเน้นสาระเชิงวิชาการ ความแปลกแยกหลากหลายเป็นธรรมชาติของวิชาการอยู่แล้ว ผู้เขียนเห็นด้วยอย่างยิ่งในแนวคิดที่ ๒ เราต้องเรียนรู้เป้าหมาย วัตถุประสงค์ อุดมการณ์ของตนให้ถ่องแท้เสียก่อน ต่อจากนั้นจึงเชื่อมสัมพันธ์กันโดยวิธีแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง นี่เป็นประเด็นที่ ๑
เมื่อรวมกันเข้ามาใหม่(re-unification) แล้วจะย้อนกลับไปหาพระศากยมุนีพุทธะซึ่งเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์หรือไม่นั้น จะเป็นอีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งขึ้นอยู่กับแนวคิดพื้นฐานของแต่ละนิกาย
ผู้เขียนเห็นว่า การศึกษาพระพุทธศาสนาเชิงวิชาการ เป็นจุดเปราะบางที่ทำให้เกิดความแตกแยกได้ง่าย เพราะธุรกิจของนักวิชาการ คือ การคิดวิเคราะห์วิจารณ์ ซึ่งแน่นอนว่าผลที่ตามมาจะเป็นความเห็นที่แตกต่าง อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างไม่ใช่ความแตกแยก เฉพาะฉะนั้น การเชื่อมสัมพันธ์ในกลุ่มนิกายยังมีความเป็นไปได้มาก องค์ประกอบสำคัญในการเชื่อมสัมพันธ์กัน มีอยู่ ๒ ส่วน คือ
(๑) ย้อนกลับไปหาพระศากยมุนีพุทธะ
การย้อนกลับไปหาพระศากยมุนีพุทธะ หมายถึงการศึกษาพระพุทธพจน์ดั้งเดิมจริง ๆ พระพุทธเจ้าในฐานะบุคคลในประวัติศาสตร์ที่ดำรงชีวิตอยู่ในช่วงระยะหนึ่งมีความสำคัญไม่น้อยเช่นกัน แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่หลักคำสอนและจุดหมายสูงสุดแห่งการปฏิบัติธรรม นิพพานก็ดี ศูนยตาก็ดี อทวิภาวะก็ดี ที่เป็นไปในความหมายว่าหมดกิเลส บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่ได้มีความแตกต่างกัน ล้วนเป้าหมายอุดมการณ์ของพระศากยมุนีทั้งสิ้น ย้อนกลับไปหาพระศากยมุนีพุทธะโดยการศึกษาพระพุทธพจน์ เป้าหมายอุดมการณ์สูงสุดของพระองค์
(๒) เรียนรู้แก่นแท้นิกายของตน
เรียนรู้แก่นแท้นิกายของตน หมายถึงการตรวจสอบเทียบเคียงหลักการ วิธีการ และเป้าหมายนิกาของตนกับของพระศากยมุนีพุทธะ ประเด็นไหนที่สอดคล้องตรงกัน ควรรักษาไว้ ประเด็นที่ไม่ตรงกัน ต้องยอมรับความจริงว่าผิดเพี้ยน ควรตัดทิ้ง
เมื่อย้อนกลับไปหาพระศากยมุนีพุทธะได้ เมื่อเรียนรู้แก่นแท้นิกายของตนแล้ว การเชื่อมสัมพันธ์ในกลุ่มนิกายย่อมเป็นไปได้ง่าย เข้ากับหลักที่ว่า "ผู้นำสูงสุดเดียว เป้าหมายสูงสุดเดียว แต่หลากหลายวิธีการ"
การสร้างระบบสากัจฉากับต่างศาสนา และปลูกฝังแนวคิดศาสนาแห่งมนุษยชาติ |
เมื่อเกิดกระแสต่อต้านระบบสากัจฉา(dialogue)ของคริสตศาสนาในกลุ่มพุทธศาสนิกชน หลวงพ่อพุทธทาสประกาเผยแผ่อุดมการณ์ของท่าน ๓ ข้อซึ่งฝากไว้กับอนุชน ดังนี้
(๑) การทำให้ทุกคนเข้าถึงหัวใจของศาสนาของตน ๆ
(๒) การทำความเข้าใจระหว่างศาสนา
(๓) การทำโลกให้ออกมาเสียจากอำนาจวัตถุนิยม
อุดมการณ์ของหลวงพ่อพุทธทาสทั้ง ๓ ข้อ ตรงกับความเห็นของอะกิซูกิ เรียวมิน(Akizuki Ryomin) ซึ่งกำลังบอกว่า พระพุทธศาสนาในสหัสวรรษหน้าควรจะมีรูปแบบเป็นอย่างไร เรียวมินบอกว่า พระพุทธศาสนาควรจะมีระบบสากัจฉากับต่างศาสนาเพื่อสร้างศาสนาแห่งมนุษยชาติ(other religions-dialogue system) เรียวมินให้เหตุผลโดยอ้างคำพูดของศาสตราจารย์ เดวิด ชาเปล แห่งมหาวิทยาลัยฮาวายว่า "ในรอบ ๑๐ ปีที่ผ่านมา ประมาณ ๓๐-๔๐ มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา สอนหลักสูตรพระพุทธศาสนา ปัจจุบัน ประมาณ ๑๐๐ มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาที่สอนหลักสูตรพระพุทธศาสนา และที่สำคัญ คือ นักศึกษาที่เรียนปริญญาเอกในสาขาเทววิทยาคริสต์ศาสนา ถูกกำหนดให้เรียนหลักพระพุทธศาสนา"
ผู้เขียนเห็นด้วยกับแนวกับแนวคิดของเรียวมินในระดับหนึ่ง ในประเด็นที่ ๓ ระบบสากัจฉากับต่างศาสนานั้นเป็นไปได้ การสากัจฉาหรือการสนทนากันอย่างใกล้ชิดทำให้เกิดความเข้าใจกัน แต่ต้องรู้จักแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง ส่วนการสร้างศาสนาแห่งมนุษยชาตินั้นไม่ใช่สิ่งจำเป็นนัก เพราะมหายานมีความเชื่อพื้นฐานอยู่แล้วว่า "พระพุทธเจ้าทรงมีธรรมกายที่ปรากฏในทุกแห่ง ในกาละที่เหมาะ ในเทศะที่เหมาะ ปรากฏต่อชาวอินเดียในรูปของพระศากยมุนี ปรากฏต่อชาวเซมิติคในรูปของพระเยซูคริสต์" ปัจจุบันนี้ มวลมนุษย์มีเพียงศาสนาเดียว แต่นับถือกัน ๔ แนวทางอยู่แล้ว ถ้าสร้างศาสนาให้มีเพียงหนึ่งเดียวแล้วให้คนทั้งโลกนับถือร่วมกัน ประเด็นเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพจะอยู่ตรงไหน ปรัชญาและวัตถุประสงค์ของมหายานที่ว่า "เสรีภาพและมวลชน" จะถูกบิดเบือนไป
อะกิซูกิ เรียวมินมีจุดประสงค์อะไร ? โลกทั้งผองต้องมีศาสนาหนึ่งเดียวหรือ ? ในสหัสวรรษใหม่นี้ อะไรคือรูปแบบที่ดีที่สุดแห่งศาสนา ?
(๑) ศาสนาเดียวแต่หลายนิกายและมีจุดประสงค์เดียว
(๒) ศาสนาเดียวแต่หลายจุดประสงค์
(๓) หลายศาสนาแต่จุดประสงค์เดียว
ผู้เขียนเห็นว่า โดยธรรมชาติของมนุษย์ในแต่ละถิ่น เพราะสภาพแวดล้อมแตกต่างกัน ย่อมมีจริตและอธิมุติต่างกัน รูปแบบที่ดีและเป็นไปได้คือ หลายศาสนาแต่จุดประสงค์เดียว เราไม่ต้องกังวลเลยว่าจะก้าวไปสู่จุดประสงค์สูงสุดหนึ่งเดียวนั้นได้ทั้งหมดหรือไม่ เพราะในทางปฏิบัติเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะเป็นเช่นนั้น คนที่เดินทางผิดย่อมไปไม่ถึงจุดประสงค์ ปฐมทารุขันโธปมสูตรแห่งสังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค กล่าวถึงกรณีที่พราหมณ์คนหนึ่งทูลถามพระพุทธเจ้าว่า "ในเมื่อนิพพานมีอยู่ ทางไปนิพพานมีอยู่ เพราะเหตุไร จึงมีคนบรรลุบ้าง ไม่บรรลุบ้าน" พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า สรุปความได้ว่า "ถ้าเดินทางเถลไถล แวะโน่นแวะนี่ ก็ไม่บรรลุนิพพาน"