ในวโรกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันที่ 5 ธันวาคม 2547 ซึ่งในปีนี้ทรงเจริญพระชนมายุครบ 77 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานวโรกาสให้คณะองคมนตรี คณะรัฐมนตรี คณะบุคคล องค์กร ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และประชาชน จำนวน 674 คณะ รวมทั้งสิ้น 22,175 คน เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคล ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา กทม. ในวันที่ 4 ธ.ค. โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จพระราชดำเนินจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐานมายังศาลาดุสิดาลัย ในเวลาประมาณ 16.10 น.
ลำดับต่อมา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถวายพระพรชัยมงคลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สรุปความได้ว่า ในนามของพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า รู้สึกปลื้มปีติยินดีและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ปวงข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคลในวาระสำคัญอันเวียนมาบรรจบอีกคำรบหนึ่งในวันนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า ในรอบปีที่ผ่านมา แม้จะทรงอยู่ระหว่างการแปรพระราชฐาน ไปประทับที่พระราชวังไกลกังวล หัวหิน เป็นเวลานาน แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังทรงงานและปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆ เป็นปกติตลอดมา อีกทั้งยังเสด็จพระราชดำเนินทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสำคัญ ทรงเปิดงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา และประกาศพระบรมราชโองการต่างๆอีกเป็นอันมาก บางครั้งยังเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรความก้าวหน้าของโครงการสำคัญ และพระราชทานความรู้แก่นักเรียนอีกด้วย นอกจากนี้ ยังทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่เสด็จสถิตในราชันย์ถวัลยราชสมบัติมาแล้วเป็นเวลาเกือบ 60 ปี ยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในประเทศทั้งปวง จึงทรงเป็นประดุจหลักชัยที่ยั่งยืนและมั่นคง ท่ามกลางมรสุมที่โหมกระหน่ำเข้ามา ตั้งแต่เมื่อทรงเริ่มรับราชสมบัติ ซึ่งก่อนหน้านั้นอาณาประชาราษฎร์มีแต่ความว้าเหว่ สิ้นหวัง เพราะภัยที่ประดังเข้ามาหลังมหาสงครามโลก ครั้งที่ 2 และต่อมาชาวไทยยังได้ประจักษ์ถึงภัยจากความขัดแย้งทางความคิด จนกระทั่งถึงสงครามเย็นที่ยืดเยื้อยาวนาน แต่ยังทรงสถิตเป็นหลักชัยอย่างมั่นคง ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง การปกครองในประเทศรอบด้านและยังได้ประทับเคียงข้างราษฎรท่ามกลางภัยธรรมชาติ ตั้งแต่มหาวาตภัยที่แหลมตะลุมพุก จนถึงภัยแล้งในภาคอีสาน และอุทกภัยในภูมิภาคต่างๆ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคภัยไข้เจ็บ ปัญหาจราจรที่เกือบจะหยุดกรุงเทพมหานครทั้งเมืองไว้บนท้องถนน และวิกฤติเศรษฐกิจที่กระหน่ำมาโดยไม่ทันตั้งตัว บัดนี้มรสุมและฝันร้ายดังกล่าวได้ผ่านพ้นไปด้วยเดชะพระบารมี
นอกจากนี้ ในตอนหนึ่งของคำถวายพระพร พ.ต.ท. ทักษิณกล่าวว่า ทุกครั้งที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้ เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท จะกลับออกมาด้วยความปลาบปลื้มและความภาคภูมิใจยิ่งนัก ที่เรามีพระมหากษัตริย์สุดประเสริฐ ผู้ทรงพระปรีชาสามารถ และทรงเข้าพระราชหฤทัยในปัญหาของชาติอย่างถี่ถ้วน คำนึงถึงประชาชน เช่น เรื่องการประกันราคาสินค้าเกษตร ที่ต้องให้ถึงมือเกษตรกร ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง นาล่ม ปัญหาเยาวชน ศาสนา ยาเสพติด การศึกษา กฎหมาย การจราจร หรือแม้แต่เหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทุกครั้งจะรับสั่งลงท้ายว่า ขอให้ผู้มีหน้าที่นำไปคิดดู ไม่ต้องเชื่อก็ได้ และไม่มีสักครั้งเดียวที่จะรับสั่งถึงพระองค์เอง บางครั้งยังพระราชทานความมั่นใจว่า แม้เรื่องใดจะกระทบต่อกิจการราชสำนัก หากควรดำเนินการก็ขอให้ดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณะ ผู้ใดก็ตามมีโอกาสน้อมนำพระราชกรณียกิจ พระราชจริยาวัตรมาศึกษาให้ถ่องแท้แล้ว จะเห็นได้ว่า ล้วนแต่เป็นรูปธรรม สามารถนำมาใช้แก้ไขปัญหาของประเทศได้อย่างแท้จริง เพราะกลั่นกรองมาจากพระปรีชาสามารถ ตามหลักวิชาอันเป็นสากล ประกอบกับพระราชประสบการณ์อันยาวนาน และด้วยพระราชวิจารณญาณอันกว้างไกล โดยได้ทรงพิสูจน์ แล้ว มิใช่เพียงบนแผ่นกระดาษ หรือในห้องปฏิบัติการ หากแต่ทรงทดลองในโรงนา และโรงงานในพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ทรงทดลองด้วยโครงการบนยอดดอยในป่าพรุ และตามป่าเขาลำเนาไพร เป็นเวลาต่อเนื่องกว่า 50 ปี รัฐบาลคิดด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมว่า แนวทางการแก้ไขปัญหาของชาติตามที่พระราชทานไว้นี้ อาจประมูลเป็นหลักการได้อย่างประเสริฐเลิศล้ำกว่าทฤษฎี หรือตำราว่าด้วยการพัฒนาใดๆ อาทิ
1. หลักราชประชานุเคราะห์ และราชประชาสมาศัย ที่ว่าไม่ว่าพระราชา หรือประชาชนก็ต้องทำหน้าที่ร่วมกัน ตามหลักการอนุเคราะห์พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน จึงเป็นคติสอนใจว่า รัฐและราษฎรไม่อาจทอดทิ้งกันได้ แม้แต่คนมั่งมีและผู้ยากไร้ ปัญญาชนและคนด้อยความรู้ ผู้สูงอายุ และคนรุ่นใหม่ ล้วนแต่อยู่ในหลักสัจธรรมที่ว่า ทั้ง 2 ฝ่ายต่างต้องอนุเคราะห์พึ่งพาอาศัยซึ่งกัน และกันทั้งสิ้น สังคมจึงจะอยู่ร่วมกันได้อย่างผาสุกและสันติ
2. หลักชัยพัฒนา ที่ทรงเป็นการปลุกปลอบใจ ทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐและราษฎรมิให้ย่อท้อ แต่ให้ฝ่าฟันอุปสรรค เพื่อบรรลุถึงชัยชนะแห่งการพัฒนาให้จงได้ ดังนั้น จากผืนดินที่เคยแห้งแล้งแตกระแหง จึงกลายเป็นความชุ่มชื้น จากเขาหัวล้านที่โล่งเตียนก็เริ่มมีความเขียวขจี จากที่น้ำเคยท่วมในหน้าน้ำหลาก และแห้งขอดในหน้าน้ำแล้ง กลายเป็นแหล่งเก็บกักน้ำ จากดินพรุที่ยวบยาบด้วยน้ำในใต้ดิน และดินเปรี้ยวจากกรดกำมะถัน กลายเป็นนาข้าวออกรวงเหลืองอร่าม จากหนองน้ำที่เน่าเสียส่งกลิ่นเหม็น ปลาตายลอยเป็นแพ กลายเป็นแอ่งน้ำใสด้วยเครื่องกลเติมอากาศแก่ผิวน้ำแบบหมุนช้า ที่เรียกว่า "กังหันชัยพัฒนา" และจากพระบรมราโชวาทกลายเป็นคำสอนที่ง่ายๆ สนุกและกินใจ ว่าด้วยความเพียรอันบริสุทธิ์ในบทพระราชนิพนธ์เรื่อง "พระมหาชนก" และว่าด้วยความซื่อสัตย์ กตัญญู ในบทพระราชนิพนธ์เรื่อง "ทองแดง" เหล่านี้ คือบทเรียนแห่งความเพียรพยายาม การต่อสู้และเอาชนะอย่างสันติด้วยสติและด้วยภูมิปัญญาของมนุษย์โดยไม่ท้อถอย
3. หลักเศรษฐกิจพอเพียง เมื่อ 30 ปีที่แล้วได้ มีพระราชดำรัสเตือน ณ มหาสมาคมแห่งนี้ ในปี 2517 ว่าขอให้ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทยพออยู่ พอกิน มีความสงบ ไม่ใช่ว่าจะรุ่งเรืองอย่างยอด ขอย้ำ พอควร พออยู่ พอกิน มีความสงบ ไม่ให้คนอื่นมาแย่งคุณสมบัตินี้จากเราไปได้ ก็จะเป็นของขวัญวันเกิดที่ถาวร อีก 23 ปีต่อมา หลังจากนั้น ก็เกิดภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง จนมีพระราชดำรัสอีกครั้งหนึ่งในพุทธศักราช 2541 ว่า วันนั้นได้พูดว่าเราควรจะปฏิบัติให้พอมีพอกิน พอมีพอกินนี้ก็แปลว่า เศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง บัดนี้ แนวพระราชดำริเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงกลายเป็นเรื่องที่พูดถึงทั่วไปอย่างจริงจัง เพราะสอนให้คนเรารู้จักพึ่งพาตนเอง ส่งเสริมความสามัคคีของชุมชน รู้จักการขาดทุนเพื่อจะมีกำไรต่อไป ไม่ฟุ้งเฟ้อ จนกระทั่งผู้นำต่างประเทศและนักวิชาการผู้มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ ยังนำไปตริตรองด้วยความพิศวงในพระอัจฉริยภาพ ดังที่เมื่อเร็วๆนี้ รัฐมนตรีของหลายประเทศที่กำลังพัฒนา ได้นัดกันมาชุมนุมขอเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับพระราชทานคำแนะนำเกี่ยวกับการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง และทุกคนต่างพูดถึงแนวทางนี้ด้วยความชื่นชมว่าเป็นวิถีทางแบบตะวันออก ที่น่าพิศวงยิ่งนักในโลกปัจจุบัน
4. หลักรู้รักสามัคคี ที่ทรงย้ำเตือนตลอดมาว่า ความจำเริญรุ่งเรืองใดๆ ในทางวัตถุ ไม่สำคัญเท่ากับที่ราษฎรมีความสามัคคี ปรองดอง อันเป็นกุศโลบายในการแก้ปัญหาของบ้านเมืองในยามวิกฤติได้อย่างดีเลิศ ตั้งแต่ปัญหาปากท้องจนถึงปัญหาการเมือง และตั้งแต่ ปัญหาการวิวาทเล็กน้อยจนถึงปัญหาการก่อความไม่สงบในระดับชาติด้วยตัวอย่างเพียงหลัก 4 ประการนี้ รัฐบาลเชื่อว่าเป็นดุจเสาหลัก หรือจตุสดมภ์ค้ำจุนประเทศไทยให้อยู่รอดได้อย่างดี หากชาวไทยทุกรูปทุกนามปฏิบัติตามด้วยความเข้าใจ ร่วมใจ และด้วยความสุจริตไม่บิดเบือน ซึ่งรัฐบาลถือว่าหลักเหล่านี้เป็นรากแก้วแห่งการพัฒนา และจะขอพระราชทานน้อมนำไปเผยแพร่และปฏิบัติจนถึงระดับรากหญ้า คือราษฎรทั่วไปในประเทศ คำกล่าวของกวีข้างต้นที่ว่า "สุขเพราะผ่านฟ้าสุขสมบูรณ์" นั้น แท้จริงแล้วในรัชกาลนี้ควรดัดแปลงเป็นว่าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงสุข เพราะไพร่ฟ้าสุขสมบูรณ์ต่างหาก ดังที่ได้รับสั่งแก่คณะกรรมการบริหารมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ และผู้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ว่า ถ้าทุกคนช่วยกัน ประชาชนก็จะมีความสุข ถ้าประชาชนมีความสุข ประเทศชาติก็พลอยมีความสุข ซึ่งคำที่ทรงละไว้แต่อยู่ในใจข้าพระพุทธเจ้าก็คือ ถ้าประเทศชาติมีความสุขก็จะทรงมีความสุขด้วยนั่นเอง นับเป็นบุญนักหนาที่ปวงข้าพระพุทธเจ้าได้เกิดมา หรือมีชีวิตอยู่ในรัชกาลแห่งใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จึงขอถวายสัตย์ปฏิญาณที่จะปฏิบัติบำเพ็ญตามรอยพระยุคลบาท สนองคุณของแผ่นดินตามกำลังและหน้าที่ของแต่ละคน ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ด้วยความปรองดอง ด้วยความจงรักภักดี ด้วยความเพียรอันบริสุทธิ์ และด้วยความเชื่อมั่นโดยไม่ลังเลสงสัย ว่าหลักอันได้พระราชทานไว้แล้วนั้น เป็นหลักแห่งการดำรงชีพและดำรงชาติอย่างแท้จริง ในวโรกาสนี้ ในนามของพสกนิกรทุกหมู่เหล่า ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพรชัยมงคล ขออัญเชิญคุณพระรัตนตรัยเป็นประธาน อีกทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่เคารพนับถือของชนทั้งปวง ได้โปรดอภิบาลรักษาใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ให้ทรงพระเกษมสำราญ ทรงเจริญพระชนมสุข ด้วยจตุรพิธพรชัย สถิตเป็นประธานแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ปกเกล้าปกกระหม่อมข้าพระพุทธเจ้าชาวไทยทั้งปวง ตราบกาลนาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
ภายหลังนายกรัฐมนตรีกล่าวถวายพระพรจบแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสตอบ ความว่า "ขอขอบใจท่านทั้งหลายที่มาในวันนี้ และขอบใจนายกฯที่ได้กล่าวคำอวยพร ทั้งได้สรุปการที่ได้กระทำในระยะ 50 กว่าปี ซึ่งต้องขอขอบใจที่ไม่ต้องเล่าให้ท่านฟังว่าทำอะไร ท่านได้สรุปอย่างดี อีกอย่างหนึ่ง ที่ท่านไม่ได้พูด ที่ฟังวงดนตรีดุริยางค์กองทัพเรือได้ บรรเลงสรรเสริญพระบารมีนั้น ท่านไม่ได้พูดถึง ความจริง ดนตรีของกองทัพเรือนี้ได้ฟันฝ่าอุปสรรคมามาก จำได้ว่าเมื่อ 50 ปี 40 กว่าปี เกือบ 50 ปี ได้มีการแสดงดนตรีทุกวันพุธที่พระที่นั่งอัมพร และมีพวกดนตรีต่างๆ ใหญ่ๆ ได้เดินลองไปฟังและทนไม่ไหว คือว่ามีอะไรที่ขัดหู เลยลุกขึ้นไปบอกกับผู้มีอำนวยเพลงว่า ได้เทียบเสียงหรือเปล่า ท่านผู้อำนวยเพลงบอกเทียบเสียงแล้ว ว่าเราขอให้เทียบอีก เขาก็เทียบได้ดี ฟังดูแล้วไม่ขัดหู ก็ให้เล่นอีก เล่นไปเล่นมา มันขัดหูอีก เลยลุกขึ้นไปเดินในหมู่ ให้เขาเล่นไป เดินไป ไปเจอซอยักษ์อยู่ ซอยักษ์เล่นไปมันเพี้ยนแล้ว ไม่ทราบทำไมเพี้ยนอย่างนั้นได้ เลยคิดดูว่า มันเพี้ยนเพราะว่าเล่นบันไดเสียงไทย มิได้เล่นบันไดเสียงสากล เลยพยายามให้เขาเทียบเสียงให้ดีที่สุด ก็ดีขึ้น เพราะว่าการเทียบเสียงนั้นยาก ยากที่ต้องเทียบหูด้วย เพราะเทียบหูแบบไทย เพราะว่าผู้ที่เล่นดนตรีในวงของทุกๆวง เวลานั้น เวลามีเวลาว่างต้องไปเล่น เล่นโดยมากเป็นวงเล็กๆ เล่นรำวง เล่นรำวงนั้นต้องเทียบเสียงแบบบันไดเสียงไทย เขาก็เคยชิน มาเล่นเพลงสากลด้วยบันไดเสียงไทย เลยขัดหู ถ้าเล่นด้วยบันไดเสียงไทยล้วนยังไม่เป็นไร แต่บางคนเล่นแบบบันไดเสียงสากล บางคนแบบไทย อันนี้เลยบอก เวลามาเล่นเพลงสากล ขอให้ลืมรำวง เขาก็ทำได้ดีขึ้น มาเล่นเพลงสากล และเล่นรำวงลดลงไป มาทีหลังนี่ ในวงที่เราเล่น พวกเพื่อนๆเล่น เขาก็เล่นรำวงเหมือนกัน เลยบอกว่า ถ้าเล่นรำวงก็ขอให้เล่นรำวงที่ถูกต้อง ที่เป็นบันไดเสียงไทย ไม่สำเร็จ เล่นรำวงด้วยบันไดเสียงสากล และรำวงนั้นก็เพี้ยนผิด
มาถึงเมื่อเดือนที่แล้ว มีนักดนตรีมาจากอเมริกา เป็นดนตรีที่เขาเล่นแบบที่เรียกว่าแบบนิวออลีน นิวออลีน เป็นเมืองในตุซายาน่า ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเพลงแจ๊ส เขามาเราก็เล่นกับเขา เล่นๆไป มีการเล่นเป็นสำเนียงรำวงหน่อย เราถามเขารู้ไหมว่าเล่นรำวง เขาบอกเราว่าเขารู้ หูเขาดี เขารู้ว่าเป็นเพลงรำวง เขาไม่รู้จักรำวง เขาบอกว่า เมื่อเขาไปญี่ปุ่นเขาไปเล่นแต่เพลงแจ๊สแบบญี่ปุ่น มีเยอะ ญี่ปุ่นเขามีนักเล่นดนตรีที่เก่งสำหรับแจ๊ส แต่ว่าเราก็อดไม่ได้ที่ฟังเขา เขาเล่นสักเดี๋ยวค่อนข้างจะญี่ปุ่น เลยบอกว่านี่แหละคนไทยเล่นเพลงแจ๊สก็เป็นเพลงแบบไทย แบบบันไดเสียงไทย เขาสนใจ ตอนนี้เขากลับไปบ้านแล้ว เข้าใจว่าเขาจะกลับไปศึกษาแจ๊สแบบรำวง แจ๊สแบบไทย คราวหน้าเขามา เขาบอกว่าจะได้เล่นเพลงแจ๊สแบบนิวออลีนบางกอก คือถ้าเขาเล่น อย่างนั้นได้เราก็ภูมิใจได้ว่า ทำให้เขาฟังเพลงไทยเป็น แต่เขาเก่งพวกนี้ หูเขาดี เขาเล่นด้วยหู เขาไม่ได้เล่นด้วยตา เขาไม่ได้อ่านโน้ต เขาเล่นด้วยหู เวลาเราไปเล่นกับเขา เราต้องเล่นด้วยหู ไม่ได้เล่นด้วยตา ดูเขาสนุก
นี่พอพูดถึงเรื่องการปฏิบัติ เกี่ยวข้องกับศิลปะ แจ๊สนี่เป็นศิลปะอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะแจ๊สแบบนิวออลีน เป็นศิลปะ เพราะว่าดนตรีเป็นประวัติศาสตร์ของชาติบ้านเมือง ชาติบ้านเมืองใดมีดนตรี มีสำเนียงดนตรี เพลงดนตรี เครื่องดนตรีที่เป็นของตนเองนั่นแหละน่าชื่นใจ อย่างของไทยเรา เรามีเครื่องดนตรีของเรา ซึ่งคล้ายกับของจีนบ้าง คล้ายเหมือนของอินเดียบ้าง คล้ายของฝรั่งบ้าง แต่ว่าเป็นเพลง และเครื่องดนตรีไทยแท้ๆ ซึ่งเป็นทรัพย์สมบัติของชาติบ้านเมือง อย่างเดียวกับที่เราพูดภาษาไทย เป็นภาษาไทย ไม่ได้เป็นฝรั่ง ไม่ได้เป็นภาษาต่างประเทศ แต่ว่าเดี๋ยวนี่เราใช้ภาษาต่างประเทศมาก ไม่ได้แซม มานำหน้ามากมายจนกระทั่งบางทีฟังแล้วไม่รู้เรื่อง แต่ว่าถ้าใช้ภาษาต่างประเทศมาก็ควรจะแปลให้ด้วย ถ้าเราพูดภาษาไทยแบบใช้คำภาษาฝรั่งก็ให้แปลเพราะเราโง่ไม่เข้าใจ แต่นานๆไปก็เข้าใจ เดี๋ยวนี้การปกครองใช้แต่คำต่างประเทศ ท่านเป็นซีอีโอ เวลานี้อายุมากขึ้น ความจำเลยลดลงไป ซีอีโอมาจากอะไรเลยไม่รู้ว่าท่านจะปกครองอย่างไร แต่เดี๋ยวนี้ชักเคยชินว่าท่านปกครองแบบซีอีโอ แต่ว่าวันนั้นที่ซีอีโอมา ท่านรองนายกฯ มาบอกว่า ถามหน่อยพระเจ้าอยู่หัวเป็นอะไร ท่านบอกว่าเป็นซีอีโอ เราต้องเข้าใจสิ เราเป็น ซีอีโอ เลยเข้าใจว่าเราเป็นนายใหญ่คนหนึ่ง ก็ต้องคัดค้าน คัดค้านว่าไม่ใช่ เราไม่ได้เป็นนายใหญ่ รัฐธรรมนูญบอกว่า พระมหากษัตริย์ไม่เป็นนายใหญ่ เป็นมหาใหญ่โต กษัตริย์นักรบใหญ่โต เป็นจอมทัพและยังเป็นมหากษัตริย์ เป็นซีอีโอของกองทัพ เพราะว่าเข้าใจไปเลยเถิดไปเรื่อยๆ อย่างนี้ ซึ่งขอโทษที่ต้องล้อท่านรองนายกฯว่า ท่านก็เป็นซีอีโอใหญ่ ใหญ่ที่สุด เลยต้องให้ท่านรับผิดชอบหมด ลงท้ายว่า ฟังไปฟังมาตอนนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดซีอีโอมาบอกว่า การทำงานเป็นอย่างไง ซีอีโอนี่ เขาบอกสบายมาก ถ้ามีอะไรก็ให้ปลัดจังหวัดเป็นผู้สั่งการ ท่านนายกฯ ว่าอย่างนั้น เลยงงเหมือนกันว่าซีอีโอนี่ดีเหมือนกัน ถ้าเราเป็นซีอีโอ เราก็โยนให้ท่านรองนายกฯ ท่านรองนายกฯ ทำอะไรคนก็ว่าท่านรองนายกฯ ซึ่งเดี๋ยวนี้อะไรๆก็ว่าท่านรองนายกฯ แต่ว่าเวลาฟังข่าว ท่านรองนายกฯทำไอ้โน่น ไอ้นี่ แล้วรองนายกฯไหน เหมือนว่าเขาพูดตำแหน่งก่อน เสร็จแล้วถึงมาพบท่านรองนายกฯ พลเอกชวลิต ตอนแรกๆก็รู้ ท่านรองนายกฯ รองนายกฯ ต่างๆ ตกใจแล้วสั่นสะท้านว่าจะไปว่าใคร แท้จริงเราพูดถึงท่านรองนายกฯชวลิต ถ้าเป็นรองนายกฯ อื่นๆ ก็สบายใจ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ รองนายกฯ มีมาก เมื่อมีมากลงท้ายรับผิดชอบแจกจ่ายกัน ฟังข่าวก็บอกว่ารองนายกฯนั้นๆทำ
เดี๋ยวนี้ก็ฟังข่าวฟังวิทยุ มีรายการเดียวที่จะต้องฟังคือ นายกฯพูดกับประชาชน คุยประชาชน คุยๆๆๆๆ เขาบอกว่าคุยหนึ่งชั่วโมง เราพอดีได้ยิน โอ้ นายกฯ มาแล้ว เราต้องฟัง ฟังไปฟังมาเราหลับ หลับไปหลับมาเลยต้องมาคอยตอนบ่ายโมงถึงบ่ายสองโมง ได้อีกชั่วโมง คราวนี้ฟังไปฟังมาวันนี้ได้ความรู้ เพราะว่าท่านบอกว่า ท่านไม่อ่านหนังสือมากนัก หนังสือน่ะดี ต้องอ่านหนังสือเพื่อที่จะให้มีความรู้ และท่านบอกว่าที่จะดีต้องไปพบกับคน คุยกับคน ได้ความรู้ ก็จริง เราฟัง เวลาท่านนายกฯ มาก็ฟังนายกฯได้ความรู้เยอะ วันนี้ได้ความรู้ว่าท่านฟังคนที่มา ได้ความรู้ในการปฏิบัติงาน เพราะนั้นเวลาท่านนายกฯมาก็ดีใจท่านพูดมาก ท่านเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ เราก็ได้ความรู้ ที่เห็นด้วยว่า ถ้าเราฟังคนที่มีความรู้ เราก็ได้ความรู้ ไม่ใช่ความรู้ที่จะมาสอนคนโน้นคนนี้ได้แต่ได้ความรู้ที่จะปฏิบัติได้ เมื่อปฏิบัติอย่างนี้เราก็ดี เราสามารถที่จะปฏิบัติงาน ถ้าฟังจากคนที่เก่ง ฟังท่านพูดอะไรต่างๆ พูดไปเรื่อย เราได้ความรู้ ไม่ต้องอ่านหนังสือ ถ้าฟังคนที่มีความรู้แล้วมาย่อย ท่านบอกว่าฟังคนที่มีความรู้ ทำให้สามารถปฏิบัติงานสามารถทำอะไรต่ออะไรได้ ซึ่งเห็นเป็นความจริงถ้าเราฟังคนแล้วฟังจริงๆ แต่ต้องมาพิจารณาอันนี้ที่เป็นข้อสำคัญ ถ้าฟังคนโน้นคนนี้ คนไหนที่มาจากอเมริกาใต้มาพูดใหญ่ว่าต้องปฏิบัติอย่างโน้นอย่างนี้ ไม่เห็นด้วยกับท่าน เราต้องคิดทำไมเราไม่เห็นด้วย
บางทีคนที่มีความรู้มีชื่อเสียงมาพูด เราฟังไม่เข้าเรื่อง ไม่ได้มีประโยชน์ แต่ประโยชน์มีว่าท่านเก่ง ที่ทำให้คนเชื่อ ถ้าคนมาแล้ว เราฟังแล้วเชื่อตามไปหมด ไม่ดี เพราะว่าไม่ได้พิจารณา ต้องพิจารณาว่าที่ท่านพูดนั้นถูกต้องหรือไม่ ถ้าพูดถูกต้องปฏิบัติได้ เราก็ได้ประโยชน์ ส่วนรวมได้ประโยชน์ เพราะว่าเราเอาความรู้ที่ท่านพูดไปปฏิบัติต่อ
ฉะนั้นที่ฟังนายกฯพูด ท่านพูดหลายอย่าง ที่ท่านพูด เราพูดถึงว่าเด็กๆต้องฟัง เด็กๆต้องเรียน ถ้าเรียนประเทศชาติจะดี เดี๋ยวนี้เขาว่าเด็กๆไม่เรียน เด็กๆ แม้แต่ถึงขั้นมหาวิทยาลัยไม่ค่อยได้ใช้ความเหมือนคำว่าไม่ได้ความ เมื่อไม่ได้ความอนาคตของชาติอยู่ไหน คือเด็กไม่ฟัง หรือฟังแต่ไม่เข้าใจ ถ้าฟังไม่เข้าใจ แทนที่จะปฏิบัติสร้างสรรค์ต่อไป ก็ไปเข้าดิสโก้เธค ไปฟังเพลง ที่ความจริงไม่ใช่เพลงอะไร เป็นเพลงที่ไม่ได้เรื่อง ทำให้หูเสีย ไม่ใช่ว่าคนที่ฟังหูสูงหูต่ำ หูไม่ได้ยิน หูตึง คนที่ไปฟังเพลงในดิสโก้เธคหูตึงทั้งนั้น ถ้าใครเป็นหมอที่นี่ หมอหูไปตรวจ เขายืนยันว่าเด็กสมัยนี้ หูเสียมากกว่าเด็กสมัยก่อนนี้ แม้จะเด็กสมัยท่านนายกฯก็หูตึงกว่าเด็กสมัยพระเจ้าอยู่หัว เรา 76 ปี 364 วัน เกือบจะ 77 แล้ว 77 เล่นกับนักดนตรีนิวออลีน คนที่แก่ที่สุดเขา 66 แล้วหูตึง เลยฟังไม่ค่อยได้ ต้องเข้าไปใกล้ เข้าไปคุยกับเขา เรา 77 เวลาไปบอกยูนะอายุ 66 ไอนะ อายุ 77 เขาก็โอ้ๆๆ ฟังเราไม่รู้เรื่องเพราะว่าหูตึง ทีนี้ท่านองคมนตรี หูตึง ยิ้มนี่หมายว่าได้ยินที่พูดเพราะว่าคนที่หูตึงเวลานินทาท่านได้ยิน แต่นี่เป็นอย่างไรไม่ทราบนะ คนที่เป็นผู้ใหญ่เวลาพูดอะไร เรื่องอะไรมักไม่ได้ยิน แต่ว่าเวลานินทาท่าน ท่านได้ยินโน่นอยู่ข้างหลัง หูตึ๊ง ตึง ไม่รู้ ไม่เข้าใจว่ารับสั่งว่าอะไร รู้ว่าพูดอะไร แปลกที่นักดนตรีเขาหูตึง เขา 66 ยังเด็ก เด็กกว่าเรา เพราะเราหูดีกว่า แต่ว่าข้อสำคัญคนที่เด็กๆอายุ 15-16 ไปสุ่มหาคนอายุ 15-16 มาให้ มาตรวจหู หูตึง เราไปเมื่อไม่กี่เดือนได้ตรวจ ให้เขาตรวจตา ตรวจหู ตรวจอะไรต่างๆบอกว่าดีมาก ตรวจหัวใจบอกดีมาก เขาบอกว่าดีมากทั้งนั้น แพทย์มาจากเมืองนอกมาตรวจก็ว่าดีมาก เลยสบายใจว่าเรานะสุขภาพดี แต่แท้ที่จริงแล้วเราหูชักตึงเหมือนกันนะ แต่ว่าไม่ตึงเท่ากับเด็ก ถึงอยากให้มีโครงการ เพราะว่ารู้สึกว่าจะมีกระทรวงสาธารณสุขเป็นห่วงสุขภาพของเด็ก น่าจะลองไปตรวจหูของเด็ก เพราะว่าเด็กอายุ 40 กับเด็ก ลองดูคนที่อายุ 40 เป็นอย่างไร แต่ว่าที่เป็นห่วงที่สุด อายุต่ำกว่า 20 ไม่ควรจะตึง ตึงมาก ถ้าหากว่านายกฯ อยากที่จะให้เรียกว่าเด็ก ถ้าอายุ 20 เขาบอกว่าเขาไม่ใช่เด็กแล้ว เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไปเอา 15 ก็ปฏิเสธ ไม่ได้ว่าเขาเป็นเด็ก ให้เขาตรวจ เป็นห่วงนะ ถ้าคนเราหูตึงตั้งแต่อายุ 15 ต่อไปจะเป็นอย่างไร เพราะหูนี่ไม่มีความก้าวหน้าขึ้นมา นอกจากใส่เครื่อง แล้วก็น่ารำคาญ สรุปลงท้ายก็ไม่ใส่เครื่อง แต่ถ้าใส่เครื่องก็เป็นการสิ้นเปลืองเงินสำหรับ 30 บาท เครื่องมันเกิน 30 บาท
ดังนั้น ถ้าทุกคนที่นั่งอยู่นี้ใส่หูกันหลายคนมันแพง ถ้าไม่อยากให้งบประมาณของแผ่นดินเสียไป ทุกคน 30 บาท 22,000 เศษๆ ที่มาในวันนี้ 30 บาทคูณเท่าไหร่ 600,000 ก็ไม่เป็นไร ท่านมีงบ มีงบพิเศษของท่าน แต่ว่า 600,000 นี่ต้องเป็นจากกระเป๋าของราษฎร ว่ากระเป๋าของท่านนายกฯเท่าไหร่ เครื่องนี้ราคาเป็นร้อยเป็นพัน งบประมาณของกระทรวงสาธารณสุขเป็นเท่าไหร่ เหมือนว่าแย่งบประมาณจะหามาจากไหน แต่ท่านบอกว่าดีมาก เดี๋ยวนี้รายได้ของประเทศขึ้นไปถึงกว่าเก่าแล้ว ถ้าใช้เฉพาะสำหรับปัญหาเรื่องเด็กหูตึง ผ่ายรัฐบาลต้องเสีย 1 พันล้าน แต่ว่าถ้าเขาได้รับการเยียวยาไม่ได้เป็นการเยียวยา แต่ความปลอดภัยรับฟังได้ ทีหลังเมื่อได้เครื่องแล้วต้องใส่ พลังงานต้องใช้ แพงที่แบตเตอรี่ ต้องใช้ตลอด อันนี้อุปสรรคความเสียหายจะต้องมีค่าใช้จ่ายมาก แต่ค่าใช่จ่ายที่มากที่สุดก็คือ คนที่หูตึงจะเรียนรู้หรือปฏิบัติงานยากที่สุด เพราะว่าคนที่หูตึงแม้จะได้เครื่อง มันไม่เหมือนคนที่หูไม่ตึงแล้วไม่ต้องใช้เครื่อง ประสิทธิภาพของคนที่หูดีเหนือประสิทธิภาพของคนที่หูตึง แม้จะมีเครื่องช่วยให้ฟังได้
อันนี้เป็นข้อหนึ่งที่น่าจะแก้ไขหรือน่าจะระมัด ระวังให้คนไทยอนาคตมีหูที่ดีขึ้น มีหูที่ฟังได้ดี ไม่ใช่ว่าเป็นผู้เฒ่าที่หูฟังไม่ได้ ถ้าว่าเด็กๆที่ฟังไม่ได้ แต่ถ้าระมัดระวัง เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าจะยากในการรณรงค์ให้เด็กหูดีขึ้น ยากเพราะว่าเคยชิน เดี๋ยวนี้จะแก้ไข วิธีแก้ไขของท่านรัฐบาลก็คือ ห้ามไม่เข้าดิสโก้เธค ไม่ให้ไปฟังเพลง ไม่ให้สูบบุหรี่ ไอ้ไม่ให้สูบบุหรี่นี่จะทำให้หูดี คือหูไม่เสีย คนที่สูบบุหรี่มากๆ หูเสียมาก มีเหตุผล ทำไมคนที่สูบบุหรี่หูเสีย เพราะว่าบุหรี่ทำให้เส้นเลือดตีบ เมื่อเส้นเลือดตีบหูก็เสีย เพราะว่าหู ตา เสียได้ง่าย เพราะว่าเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหูเลี้ยงตา เลี้ยงอวัยวะที่อ่อนไหวนั้น เส้นเลือดมันเล็ก ถ้าโดนบุหรี่ ทำให้เส้นเลือดตีบ เลือดก็ไปไม่ได้ เลือดไปที่อวัยวะเหล่านั้นยาก ถ้าไปไม่ดีก็ทำให้อวัยวะเหล่านั้นด้อยสมรรถภาพ ยากที่จะแก้ไขไม่ให้คนหูตึง นอกจากต้องพยายามแก้ไข เดี๋ยวนี้ร้องโวยวายว่าห้ามสูบบุหรี่ ซึ่งปัจจุบันนี้บุหรี่ สูบกันน้อยลง เพราะว่าคนชักรู้ว่าสูบบุหรี่แล้วไม่มีประโยชน์ แต่เดี๋ยวนี้เด็กๆ มีการสูบบุหรี่มากขึ้น มากกว่าก่อน แต่ก่อนนี้เด็กๆยังไม่สูบ และโดยเฉพาะผู้หญิงสูบบุหรี่มาก แต่ก่อนนี้กลัวว่าสูบบุหรี่ทำให้ผิวเสีย ผิวเสียก็ เพราะว่าเส้นเลือดมันไม่ดี อะไรทำให้ผิวไม่ดี แต่สมัยใหม่ นี้เขาไม่กลัวแล้ว เพราะว่าผิวเสียก็ช่าง ก็ทาหน้า เช้งเลย ฉะนั้นต้องหาทางแก้ไข จะห้ามไม่ให้ใช้เครื่องสำอาง ถ้าห้ามไม่ใช้เครื่องสำอางก็ประหยัดดีนะ ประแป้งนิดหน่อย สมัยก่อนนี้ประแป้งก็สวยแล้ว ถ้าประแป้งนิดเดียวไม่ต้องประ ทาสีแดง แต่สมัยใหม่นี่เขาต้องทาสีแดง แล้วก็ไม่ใช่แดง มีสีเขียวด้วย แล้วก็ปั้นจมูก ปั้นแก้ม ต้องทาสีต่างๆ ถึงเรียกว่าพวกนี้มาแต่งหน้าให้เป็นพวกศิลปิน แต่ก็ดีทำให้พวกศิลปินนี้มีอาชีพ
นี่แขวะไปเรื่อยๆ อยากแขวะนะ แขวะเป็นทอดๆ ไปเรื่อยอย่างนี้ ท่านหัวร่อนะ ผู้ชายหัวร่อนะ ผู้หญิงกลับบ้าน เดี๋ยวเล่นงานทำไมหัวเราะ แต่อย่างไรก็ตาม เราพูดอย่างนี้ เราต้องสนุกสนานหน่อยเพราะว่าเดี๋ยวนี้ค่อนข้างจะเป็นเวลาที่เครียด เราต้องยกตัวอย่างท่านนายกฯ นายกฯ ดูทีวีเสียงแหบ และหน้าเหี่ยว แต่ออกทีวีหน้าเหี่ยวแล้วเขาต้องไปแต่งตัว และท่านต้องเนี้ยบ อย่างวันนี้ คงต้องแต่งดีเพราะว่ามีทีวี แต่งนิดหน่อย หล่อขึ้นเยอะ ไม่พูดเฉพาะท่านนายกฯ เพราะเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ใหญ่ก็ต้องยกตัวอย่างผู้ใหญ่ แต่ท่านนายกฯ ประธานองคมนตรี ประธานศาลฎีกา ศาลปกครอง ศาล ศาลกี่ศาล เดี๋ยวนี้ศาลมีมากเหลือเกิน เป็นประธานที่นั่น นี่เป็นประธานแล้วผู้ใหญ่ ทั้งนั้น เลยมีผู้ใหญ่มาก ข้างนอกเลยไม่มีโอกาสเข้ามาเลย มีแต่ผู้ใหญ่ ยังไงก็แขวะผู้ใหญ่ รวมอยู่ที่นายกรัฐมนตรี แล้วก็แขวะคนเดียว ไม่งั้นเหนื่อย แขวะทุกคน
แต่อย่างไรก็ตาม พูดนี่เป็นอารัมภบทนะว่า ไม่ต้องแขวะใคร แขวะนายกฯคนเดียว แขวะทุกท่านหมดเลย จำไม่ ได้ว่าจะมาพูดเรื่องอะไร เมื่อจำไม่ได้แล้ว คงไม่ต้องพูดอะไรมาก แต่ท่านเข้าใจว่าคนเราต้องพูด ต้องแขวะ เพราะว่าถ้าไม่แขวะจะไม่ได้อะไรเลย ถ้ามาบอก ท่านเก่ง ท่านดี ท่านอะไรทุกอย่าง ไม่ได้ผล ลงท้ายท่านก็ลืม ลืมว่าท่านทำอะไร อันตราย ถ้าลืมทำอะไร มันอันตรายทั้งนั้น เดี๋ยวท่านเกิดต้องพูดภาษาอังกฤษ ไบรท์ไอเดีย ว่าทำอย่างโน้นทำอย่างนี้ เลยเสียหาย เมื่อเช้าที่ฟัง ที่ฟังท่านพูดถึงเด็ก ต้องเรียนรู้ มีอันหนึ่งเด็กเรียนรู้ได้ไม่เท่ากัน บางคนถ้าเราให้เด็กเรียนรู้ อายุ 8 ขวบ เขาเก่ง เก่งเท่ากับอายุ 30 แล้วเก่งจริงๆ เราสู้ไม่ไหว แต่ว่าถ้าในทางตรงข้าม นึกว่าเด็ก ถ้าเขาฟัง เขาเรียน บางคนเรียนไม่ไหว เรียนไม่ได้ หรือเรียนบางวิชาได้ บางวิชาเรียนไม่ได้ ก็ต้องแบ่งแยกออกไปเป็นพวกที่เรียน จะเรียกว่าเรียนเก่ง เรียนได้ หรือไม่ได้
เมื่อวันจันทร์ก่อน ก่อนมาจากหัวหิน ไปพบกับพวกราชประชานุเคราะห์และพวกสื่อสารทำดาวเทียม และรัฐมนตรีศึกษาก็มานั่ง เมื่อท่านเป็นผู้ใหญ่ในที่นั้นเลยต้องแขวะท่าน แขวะท่านว่าศึกษานี่มีอะไรแปลกๆ ไม่ได้บอกว่ามีอะไรแปลก เพราะว่าเดี๋ยวโกรธ แล้วก็มีอะไรแปลกๆ คงมาฟ้องท่านนายกฯ ฟ้องหรือเปล่า ไม่ได้บอก เพราะว่า ท่านทำหน้าชอบกล คือลำบาก ที่ว่าคนที่เป็นรัฐมนตรี บางทีมีความคิดแปลกๆนั่นเอง แล้วที่เรียกว่า ไบรท์ไอเดีย มีไบรท์ไอเดีย ทำโน่นทำนี่ เพราะว่าท่านผู้ใหญ่ ต้องระวัง ถ้ามีไบรท์ไอเดีย และต้องแปล ไบรท์ไอเดีย ความคิดที่สว่างไสว เรารู้ถึงคำว่าไบรท์ไอเดียเพราะว่าในการ์ตูน เราดูการ์ตูน ว่าคนไหนมีไบรท์ไอเดีย เกิดมีไฟขึ้นมาบนหัว แต่ว่าท่านนายกฯมีไบรท์ไอเดีย เพราะว่ามีดาวเทียม ท่านนายกฯไม่มีหลอดไฟ แต่ก่อนนี้เรามีหลอดไฟ สมัยนี้ยังต้องมีดาวเทียมอยู่บนหัว ท่านนายกฯมีไบรท์ไอเดียด้วย แต่ตอนนี้ท่านรัฐมนตรีศึกษา ท่านก็มีไบรท์ไอเดียนะ แล้วท่านไม่ใช่หลอดไฟ ท่านเป็นดาวเทียมเหมือนกัน เพราะว่าท่านชอบ ได้แก่การศึกษาผ่านทางดาวเทียม เลยทำให้ นึกถึงว่าไปแขวะท่าน ท่านก็หัวร่อเพราะว่าผ่านดาวเทียมลงไปก็เข้าใจว่าแขวะ แล้วแขวะผ่านนึกว่าเข้าดาวเทียมของนายกฯลงมาก็เข้าใจ นี่แหละ ถ้าคนที่มีไบรท์ไอเดีย หมายความว่าเป็นคนที่สว่าง สว่างไสวในสมอง ก็เก่งก็ดี แต่บางคนถ้าดาวเทียมพัง อย่างเราอยู่ที่หัวหิน เดี๋ยวทำไปทำมา ดูทีวี เราดูการ์ตูน การ์ตูนดัง แฉ่บๆๆๆ ดาวเทียมมันเสีย เลยแย่ ดาวเทียมของเรา ที่เข้าเครื่อง ที่นี่ดูดาวเทียม ที่สวนจิตรก็เหมือน เดี๋ยวแฉ่บๆๆ แต่ว่าทั่วๆไปไม่ควรจะเสีย
ถ้าเราดูโทรทัศน์ ต้องอาศัยดาวเทียม เรื่องกำลังสนุก แฉ่บๆๆเลยไม่รู้ว่าอะไร นี่ถ้าแต่ก่อนนี้เป็นโทรทัศน์ แบบเก่า บางทีก็มีซู่ซู่ซู่นิดหน่อยแต่ยังรู้เรื่อง เวลาดาวเทียมอันนั้นไม่รู้เรื่อง ถ้าหากว่าก้าวหน้ามากบ้างทีทำให้มีสิทธิดูไม่รู้เรื่อง ฉะนั้นต้องระวัง
เด็กบางคนดาวเทียมดี เด็กบางคนดาวเทียมไม่ดี แต่ว่าส่วนมากดาวเทียมไม่ดีก็ต้องพยายาม ที่จะช่วยคนที่ดาวเทียมไม่ดีนั้นให้เขาได้มีความรู้พอควรกับสมอง คนที่มีสมองดี เห็นได้เข้าใจดีขึ้น สำหรับเรื่องอย่างนี้ สมเด็จกรมหลวงนราธิวาสฯ ท่านสนพระทัยมากเรื่องสมองของเด็ก ท่านอยากที่จะให้เด็กได้มีโอกาสเรียนรู้ให้ดีเต็มที่ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่จะต้องสนับสนุนให้เด็กๆ ได้ไปแข่งขัน
แต่ก่อนนี้เมืองไทย พวกที่เรียนเลขเมื่อ 50 ปี นับว่าเรียนเก่ง ต่อมาค่อยๆด้อยลง แต่เดี๋ยวนี้เด็กดีขึ้นแล้ว คือถ้าเราเอาใจใส่เด็ก เพื่อให้ได้ความรู้ที่สูงแล้วให้เขาสามารถที่จะเรียนสูงขึ้นไป ขั้นมหาวิทยาลัย ขั้นปริญญาโท ปริญญาเอก ให้ได้เรียนได้แล้วมีโอกาสมาปฏิบัติ แต่โดยมากคนที่เรียนได้ ตอนได้ปริญญาเอก กลับมาใจไม่สบาย ไม่มีที่ทำงาน เดี๋ยวนี้มีที่ทำงานบ้าง บางทีก็ไม่เหมาะสมกับงานกับความรู้ที่มี อันนี้ที่ต้องปรับปรุงยาก โดยเฉพาะนายกฯทักษิณมีความตั้งใจ ที่จะให้มีการงานที่เด็กที่มีความรู้ดีมีความสามารถดีได้ทำงานได้ เพื่อที่จะให้มาช่วยส่วนรวม อันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ ที่พูดว่าเมืองไทยต้องมีคนที่สามารถคิด เขาเรียกว่าวิสัย-ทัศน์ เดี๋ยวนี้คำว่าวิสัยทัศน์นี่ แปลกันคนละอย่าง แต่วิสัยทัศน์ เรียกว่าเมื่อสองสามปี ทราบว่าคนมีวิสัยทัศน์มีวิชั่น ภาษาฝรั่งเขาว่า มีวิชั่นมีสายตาที่เห็นอะไร มีวิชั่น แต่ว่าทางโบราณก่อน 20 ปี มีวิชั่นหมายความว่า คนที่เห็นอะไรแปลกๆหรือบ๊องๆ เห็นอะไรที่ขึ้นมาแล้ว เวลาเห็นอะไรก็หัวเราะอ๊ากๆ คือหมายความว่ามาทีหลังวิชั่นแต่มามีวิสัยทัศน์ วีทัศน์ที่เป็นวิสัย เป็นไปได้ รู้อะไรเป็นไปได้
วิสัยทัศน์ในความหมายนี้ควรจะใช้อย่างนี้ มีวิสัยทัศน์ ก็มีวิชั่นก้าวหน้า ความรู้ก้าวหน้า ผู้ใหญ่ต้องมีวิสัยทัศน์ ถ้าไม่มีวิสัยทัศน์อย่ามาเป็นผู้ใหญ่ดีกว่า เพราะว่าเละไปหมด ถ้าหากว่ามีวิสัยทัศน์ดูอะไรรู้หมด ดูอะไรเป็นความจริงไปหมดคือหมายความว่า ไม่ใช่ความจริงเป็นขึ้นมาเป็นเป็นที่ใช้ได้ ยังจำได้ว่าที่สะพานพระ ปินเกล้าบอกว่าที่ตรงนี้ต้องตัดถนนให้มันคล่องแคล่ว มิฉะนั้นถ้าไม่ตัดถนนให้มันคล่องแคล่วรถที่มาจากถนนราชดำเนิน ขึ้นสะพานไม่ได้ ถนนราชดำเนินมี 6 เลน แต่ว่าสะพานมี 3 เลนเท่านั้น มันเป็นคอขวด ถ้าอยากทำต้องทำให้มันแล่นสะดวก
จำได้ว่าวันนั้นนะ ท่านบัญญัติพูดถึงว่าต้องเข้ากรรมการจราจร บอกว่าไม่ทัน จราจรบอกว่าจะต้องทำอุโมงค์วุ่นวาย เขาจะทำอุโมงค์วุ่นวาย เจาะอุโมงค์ไปเจอน้ำ เจอคลองหลอด ต้องใช้เงิน เป็นกี่ร้อยล้าน เวลานั้นรู้สึกมาก เลยทำไม่ได้ต้องกินเวลากี่เดือนไม่รู้กว่าจะสร้างได้ ก็บอกว่าไม่ต้อง ไปตรงเลยทำให้มันไปโดยดี เลี้ยวให้นิ่ม ลงท้ายความจริงหลอก ท่านรองนายกฯหลอกท่านว่า ที่จริงรถที่มาจะมาสร้างอยู่ข้างหลังกำแพงน่ะเสร็จแล้ว ท่านบอกตกลงเข้ากรรมการ เขาเรียกอะไรจราจร กรรมการอะไร ทำไปทำมาสร้างเลย 2 เดือนเสร็จ แล้วรู้สึกคนพอใจ นี่มาขอโทษมาพาดพิง แต่ว่าต้องทำอะไรที่ง่ายๆ จนทุกวันนี้แล่นได้ดี ถ้าตรงนั้นเป็นคอขวด ทุกที่อื่นก็เป็นคอขวดหมดแล้ว แต่คอขวดอันนี้ นั่น 3 ช่อง ไปใช้สะพานพระราม 8 อีก 2 ช่อง เป็น 5 ช่อง เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยแน่น หมายความว่าเป็นคอขวด ไม่เป็นคอขวดอย่างที่นายกฯ บอกว่า แก้ไขจราจร อันนี้เป็นการแก้ไขจราจร สะพานพระปินเกล้า 3 ช่อง สะพานพระราม 8 อีก 2 ช่อง เป็น 5 ช่อง ออกทางโน้น ไปขึ้นลอยฟ้า 2 ช่อง ข้างล่าง 3 ช่อง ก็ 5 ต้องคำนวณง่ายๆ อาจจะคำนวณง่ายๆอย่างนี้ มันง่ายเกินไปนะ ง่ายเกินไปไม่สนุก แทนที่จะออกค่อนข้างสนุก คำนวณง่ายๆ 2 บวก 3 เป็น 5 อันนี้เด็กๆคำนวณได้ 2 บวก 3 เป็น 5 แล่นออก 5 ที่ถนน รัฐธรรมนูญ 6 แต่ถนนราชดำเนินต้องมีให้กว้างกว่าใหญ่โตหน่อย มีคนมาถามว่า ไอ้นี่แล่นได้แล้วมาถึงสะพานผ่านฟ้า ก็ขยาย 2 เท่า แล้วต่อไปก็สะพานมัฆวาน ขยาย 2 เท่า แล้วมีคนเขามาแขวะ แล้วต่อไปก็ได้ไปถนนศรีอยุธยา ขยายไอ้ที่ต้องเป็นคลอง เอาดินโปะลงไปเบี่ยงเยอะๆหน่อย เบี้ยวนิดแล้วไปต่อไป อันนี้พาดพิงแต่ว่าท่านนายกฯไปพาดพิงท่านนายกฯ นายกฯชวนไปแล่นบ้านนายกฯชวนทะลุไป ไปอยู่ที่ตรงนั้น ท่านไม่ได้เดือดร้อนอะไร ข้ามไปข้ามมา อย่างที่ได้พูดไปถึงมักกะสัน ผ่านมักกะสันทะลุไปทางด่วนเลย จากธนบุรีมาคาดว่าไปถึงทางด่วนไปดอนเมืองได้ ต้องดูอะไรทะลุ ต้องใช้ตาดูว่ามันทะลุไหม นี่มันนานปีแล้วกี่ปี สิบเท่าไหร่ปี
ตอนนั้นไม่กล้ามาเล่าให้ฟัง ถ้าเล่าให้ฟังเดี๋ยวโกรธ นี่ไม่โกรธแล้วนะ ทำอะไรต้องคิดว่าทำได้ เมื่อทำได้แล้วต้องแขวะท่านนายกฯ ตอนนี้เขามาทำการจราจรได้ เราจะให้ท่านทำหรือเปล่า ตอนนั้นเป็นรัฐมนตรี เป็นรองนายกฯ ท่านรองนายกฯ ฟัดกับท่านสมัคร คุณสมัครท่านเป็นรัฐมนตรีคมนาคม รองนายกฯ เหมือนกัน รองต่อรองชนกัน ชนกันรองนายกฯข้างนอก นี่ท่านรองนายกฯข้างใน ท่านรองนายกฯ สมัครบอกไม่เป็นไร มาจากข้างนอกมุดใต้แม่น้ำแล้วจะโผล่มาที่ไหนก็ไม่ทราบ โผล่มาท่านรองนายกฯทักษิณ ท่านลอยอยู่ข้างบน ไม่พบกันเลย ข้างบนข้างล่างไม่พบกัน เลยเป็นโครงการท่านสมัครมุดลงมา มุดหลับหูหลับตามุดไปออกทางโน้นไปออกทางสนามกีฬา ไม่ใช่กรีฑาทางตะวันออก เมื่อแล่นไป ไปเจออะไร ข้ามแม่น้ำไปแล้วไปไหน แต่ของเราข้ามแม่น้ำก็ขึ้นตรงเขาลอยฟ้า เลยทำให้ปรองดอง รองนายกฯต่อรองนายกฯ นี่ก็เล่าให้ฟังเรื่องนี้แบบ แปลกๆ เราเลยต้องอวด เรียกโม้ทำให้รองนายกฯ ทั้งสอง ได้ทำของตัว ทำไปทำมาเดี๋ยวนี้นับว่าดีพอสมควร จราจรก็เรียบร้อยแล้ว
แต่ที่สำคัญเรื่องที่ได้ฟังว่า เห็นว่าเด็กๆ จะต้องสามารถเรียนรู้ เรียนให้ทำงานเพื่อช่วยบ้านเมืองจริงถ้าเด็กไม่มีความรู้ ช่วยบ้านเมืองไม่ได้ บ้านเมืองไปไม่รอด เพราะว่าเด็กๆ มัวแต่ไปเสพยาเสพติด สูบบุหรี่ ไม่ดี เสพยาเสพติดไม่ต้องบอกว่ามันเสียหายอย่างไร และบุหรี่นี่แหละที่ว่าทำให้หูเสีย ตาเสีย สมองเสีย เส้นเลือดเสีย หัวใจ เมื่อสิบกว่าปีที่ต้องเข้าโรงพยาบาล เจาะหัวใจ เมื่อมาเจาะหัวใจ 3 ครั้ง ถึงเดี๋ยวนี้ หัวใจสบายมาก เลือดเดินดี เมื่อเลือดเดินดีในหัวใจแข็งแรง แต่ว่ามันมีอื่นๆ ที่มาจากที่ๆไปเจาะหัวใจด้วย ไปเจาะหัวใจ ตอนท้ายสบายมาก จนกระทั่งทำให้มีความคิด ความ รู้เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจแล้วได้ไปช่วยเพื่อนที่เขาเป็นโรคแบบเดียวกัน ไปหาหมอเจาะหัวใจ เพื่อนนั้นเล่นกีตาร์ เล่นกีตาร์หงอย เพราะว่าหัวใจมันตัน เขาไปทำไม่กี่วันกลับมายิ้มแย้มแจ่มใส เล่นกีตาร์ได้เลย สบายมาก คือที่ไปเจาะหัวใจ ได้ความรู้ว่าเจาะหัวใจนี่มีประโยชน์ มีหมอที่ดีก็ช่วย เมื่อช่วยกลับมา เขาต้องไปทำ 2 ครั้ง หมอหลวงมาบอกให้คุณนั่นน่ะ ที่พระเจ้าอยู่หัวให้ไป เคราะห์ดีไม่อย่างนั้นตาย แต่ต้องขอให้หยุดสูบบุหรี่ เพราะสูบบุหรี่มาก พี่ชายเขาก็สูบ ตายแล้ว พ่อก็สูบ ตายแล้ว เหลืออยู่คนเดียว เขาเลยไม่ตาย แล้วก็ปลอดโปร่ง ไปเข้าเรียน ขั้นความรู้สูง ตอนแรกเขาไม่มีความรู้ ก็ได้เรียน
หมายความว่าบุหรี่นี่ไปทำให้หัวใจเขาเสีย ไม่ใช่ใจเสียนะ หัวใจเสีย แล้วไปทำครั้งแรก เรียนได้ เดี๋ยวนี้กำลังเรียนจบแล้ว อายุมากอยู่ ไม่ใช่เด็กๆ เขาได้มีชีวิตที่ดี เลยต้องมาเล่าให้ฟังว่า คนที่สูบบุหรี่ สมองก็ทึบ ทำไปทำมาทึบเข้าทุกที เพราะว่าทึบ เพราะว่ามันตีบ เส้นเลือดในสมองมันตีบ เลยคิดอะไรไม่ออก ตอนแรกนึกว่าคิดออก แต่ภายหลังก็คิดไม่ออก ที่แรกนึกว่าคนเราสูบบุหรี่ทำให้กระฉับกระเฉง ตรงข้ามไม่กระฉับกระเฉง ทำให้รู้สึกว่าทึบ สมองมันทึบ สมองมันตัน เลยคิดว่าเลิกสูบบุหรี่ดีกว่า นี่มีการรณรงค์ให้เลิกสูบบุหรี่ แล้วห้ามขายบุหรี่กับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ที่จริงเด็กอายุ 50 ก็ควรจะห้าม คนไหนที่อายุ 80 ก็อยากสูบบุหรี่ก็สูบ แต่ว่าตอนนั้น สมเด็จพระบรมราชชนนีท่าน 80 ท่านสูบบุหรี่ สมเด็จกรมหลวงฯ ท่านก็สูบบุหรี่ แล้วตอนหลังท่านก็เลิก สมเด็จพระบรมราชชนนีท่านไม่เลิก แก่แล้วจะไปเลิกได้ยังไง เพราะแม้จะเลิก 2 ปี ทำให้ดีขึ้นแต่ก็แก่แล้ว แต่ในที่สุดท่านก็ต้องเลิก เพราะว่าไม่สบาย เพราะทำไปทำมาท่านก็อายุ 95
เราเลยนึกว่า เราเลิกบุหรี่นี่ดี มีคนบอกเราจะให้อายุ 120 แต่มีคนเขามาบอกว่า คนเราอายุที่ได้ถึง 128 คนที่มาบอกคงไม่นึกถึง เพราะว่า 128 นั่นต้องให้ร่างกายมันดี 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้า 120 ก็ยอมเอา แค่ 120 แต่ว่า 120 นี่ก็ไม่เลว ถ้าได้ 120 ก็อีก 40 กว่าปี ท่านทั้งหลายง่อกแง่กๆ แล้ว แต่ว่าถ้าทำให้ร่างกายดีอาจจะระมัดระวังดี เพราะว่าบางคนเดี๋ยวนี้อายุ 70 ให้ถึง 100-120 เขา 110 ก็ทำงานควรจะทำงานได้ ดูเหมือนผู้พิพากษาต้อง 70 นะ 70 ยังทำงานต่อได้อีก 40 ปี แต่ท่านอาจง่อกแง่กๆ แต่ว่าผู้พิพากษาอายุ 70 ถ้าไม่ง่อกแง่กก็ทำงานได้ให้ถึง 120 เลย แต่ว่าสงสัย เพราะว่าเดี๋ยวนี้ ใกล้ๆ 70 ก็ชักจะงอแง ยิ้มอย่างงอแงนะ ยังไง 70 ก็ไม่เลว แต่ 80 ก็น่าจะได้ เดี๋ยวนี้คนอายุ 70 ดูกระฉับกระเฉง 77 หย่อน 1 วัน นับว่าไม่ถึงวัน 70 เราเกิด 8 โมงเช้า ที่อเมริกา ที่อเมริกา 8 โมงเช้า ที่นี่เท่าไหร่ 2 ทุ่ม 2 ทุ่มวันรุ่งขึ้น ก็หมายความอีก 24 ชั่วโมงกว่าๆ เรา 77 ระหว่างนี้ คงยังแข็งแรงดี มาพูดครึกครื้น เลอะๆเทอะๆ อย่างนี้ไปเรื่อย ยิ่งอายุยืน ไม่ทราบท่านจะอายุยืนมั้ย บางคนอาจจะตรอมใจ แต่ว่า อย่างท่านผู้เฒ่าต่างๆ ต้องอายุยืน ส่วนเด็ก เขาไม่เชื่อ ไม่เชื่อนายกฯ สูบบุหรี่ เข้าเล่นคาราโอเกะ ไม่เชื่อ ก็เรียนอะไรไม่ได้ นายกฯ ต้องไปเจรจาให้เด็กๆ อายุ 10 ขวบถึง 20 ขวบ ให้ตั้งอกตั้งใจเรียน แล้วต่อไปอีก 80 ปีข้างหน้า 70 ปีเขาจะได้ทำงานได้ดี แต่ถ้าเด็กสมัยนี้ ได้ทำงาน 70 ปี เมืองไทยจะไปถึงดวงดาวได้ ทำให้เมืองไทยมีชื่อเสียงได้ ถ้าเราไม่ระวังเดี๋ยวนี้ ต่อไปอีก 80 ปี พวกเด็กสมัยนี้ที่ไม่ระมัดระวัง ไม่ถึง 80 ปี
บุหรี่นี่ทอนอายุอย่างมากๆ แต่เดี๋ยวนี้ได้ยินว่าบุหรี่ชักดีขึ้น แต่เด็กไม่ดีขึ้น พูดอย่างนี้เด็กๆ โกรธนะ เพราะว่าเด็กๆ อยากสูบบุหรี่ก็สูบสักนิดหน่อย ให้ได้ชื่อว่าได้สูบ เราเองเริ่มสูบบุหรี่ของเด็กๆ บุหรี่จริงไม่มีเป็นสูบไม้ซาง แห้งๆ สูบ แต่ทีหลังก็เลิก ต่อมาอายุ 18 ได้สูบบุหรี่ เพราะตอนนั้นสมเด็จพระบรมราชชนนีท่านบอกว่าเด็กๆ ห้ามสูบบุหรี่ เด็กๆ หมายความว่าลูกท่านต้องอายุ 18 ก่อน แต่ตอนนั้นอายุ 18 แล้วมาหลังสงครามพอดี พวกทหารฝรั่งเขามีกระป๋อง สำหรับทหารมีอาหารยังชีพ แล้วมีบุหรี่มวน 6 มวน คนเขาให้มา เราก็ลอง เวียนหัวตอนนั้นอายุ 18 นานๆ ไปก็เลยชิน แต่บุหรี่อย่างนั้นก็หมดไปเพราะว่าหมดสงคราม
แต่ต่อมา มีเกี่ยวข้องกับเรื่องบุหรี่นี่ พี่เขยน้องเขยเขาสูบบุหรี่ เลยสูบตั้งแต่นั้น สูบบุหรี่มาจนทีหลังมีอาการหัวใจ หมอบอกเลิกสูบบุหรี่ก็ไม่เชื่อหมอ ก็ยังมีอาการหัวใจต่อ จนกระทั่งมีบุหรี่อยู่ในห้อง ไม่ไหววางไว้บนโต๊ะ ยังมีอยู่ในนั้น ในซองบุหรี่มี 10 มวน วางเอาไว้ไม่แตะอีกเลย เพราะว่าบอกให้เลิก เราก็เลิกทีละมวน ทีหลังมาถึง อ้าวมี 2 มวน ทำไปทำมาเราเอาหนังสือราชการมาวางทับถุง บุหรี่ก็อยู่ใต้หนังสือราชการ ไม่รู้ เดี๋ยวนี้เขาคงเอาไปทิ้งหมดแล้ว แต่วางอยู่ตั้งนาน อยู่ใต้ตั้งหนังสือ เข้าใจว่าประมาณปีหนึ่งไม่ได้แตะ เพราะว่าถ้าไปแตะต้องไปขุดหนังสือราชการ คงนึกว่าหนังสือราชการ ไม่ทำราชการแล้ว หนังสือราชการมาก็ทำๆ แล้วเอามาตั้งต่อ แล้วตั้งสูง เดี๋ยวหนังสือราชการด่วนที่สุด ขึ้นมากระทั่งถึงสูงถึงนี่ หลังก็ขุดๆๆ แต่ยังมีด่วนมาก ด่วนที่สุด ได้ทำ 3 ธันวา ทำเสร็จแล้ววันนี้ ช้าไป 1 วันเท่านั้น แต่ด่วน ด่วนมาก ประมาณเดือนพฤศจิกาฯ 2 อาทิตย์ต้องขุด ต้องไปขุด เดี๋ยวกลับไปต้องไปขุด ไม่งั้นกลับไปหัวหินต้องหอบเอาไป กลับไปหัวหิน นี่เดี๋ยวถ้าจะพอแล้ว เพราะว่าไม่งั้นเดี๋ยวไม่ได้นอน ถ้าไม่นอน เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าตื่นไม่ไหวเป็นอย่างนี้เสมอ ขืนวันเกิดนี่ วันเกิดมีการพบปะอย่างนี้แล้วจะต้องไปนอน หรือไม่ได้นอน ขึ้นไปมหาสมาคมจะหล่นลงไปทุกครั้งเพราะว่ามันสูง แล้วขาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เลยต้องเตรียมตัว แต่อย่างไรก็ตาม เราได้มา รู้สึกมาพูดค่อนข้างจะยาว พอดีเวลาเหลือ 2 นาที ให้ดนตรีขึ้นได้ ก็ขอให้ท่านมาที่นี่ได้มีความแจ่มใส บัดนี้รู้สึกว่าท่านจะแจ่มใสดี ต้องแจ่มใสเพราะว่าถ้าไม่แจ่มใส ทำงานไม่ได้ ต้องให้ท่านทำงานได้ ได้ดีๆ แล้วคิดถึงงานที่มี ที่จะต้องทำ ทำให้ดีๆ ไม่ทำให้เละ ถ้าทำให้เละ ประเทศชาติก็เละ ขอให้มีความสุข ความสำเร็จ ทุกท่านทุกประการ
|